การรักษา HIV หรือที่ย่อมาจากภาษาอังกฤษว่า Human Immunodeficiency Virus เป็นกระบวนการที่สำคัญในการควบคุมและจัดการกับไวรัสเอชไอวี ซึ่งอาจส่งผลต่อสุขภาพโดยรวม และคุณภาพชีวิตของผู้อยู่ร่วมกับเชื้อได้ การรักษาเอชไอวีมีความก้าวหน้าอย่างมากในช่วงหลายปีที่ผ่านมา แต่ยังคงมีคำถามและข้อสงสัยมากมายที่เกี่ยวข้องกับการรักษาในชีวิตประจำวัน ในบทความนี้ เราจะรวบรวมและตอบคำถามที่พบบ่อย เกี่ยวกับการรักษา HIV เพื่อช่วยให้คุณมีความเข้าใจที่ดียิ่งขึ้น
HIV คืออะไร และทำไมต้องรักษา?
HIV ย่อมาจาก Human Immunodeficiency Virus เป็นไวรัสที่โจมตีระบบภูมิคุ้มกันของร่างกาย โดยเฉพาะเซลล์ T CD4 ซึ่งเป็นส่วนสำคัญในการต่อสู้กับการติดเชื้อและโรคต่างๆ เมื่อไวรัส HIV ทำลายเซลล์เหล่านี้มากขึ้น ระบบภูมิคุ้มกันจะอ่อนแอลงและไม่สามารถป้องกันร่างกายจากการติดเชื้ออื่นๆ ได้
ทำไมต้องรักษา HIV?
การรักษาเอชไอวีเป็นสิ่งสำคัญ เพื่อควบคุมการแพร่กระจายของไวรัสและป้องกันไม่ให้เกิดโรคที่เกี่ยวข้องกับการขาดภูมิคุ้มกัน (AIDS: Acquired Immunodeficiency Syndrome) การรักษาด้วยยา Antiretroviral Therapy (ART) ช่วยลดปริมาณไวรัสในเลือดและป้องกันความเสี่ยงในการแพร่เชื้อไปยังผู้อื่น
จะเริ่มรักษา HIV อย่างไร?
- การรักษาด้วยยาต้านไวรัสเอชไอวี
- การรักษาด้วย ART เป็นการใช้ยา Antiretroviral Therapy เพื่อควบคุมไวรัส HIV โดยการลดปริมาณไวรัสในเลือดให้อยู่ในระดับที่ไม่สามารถตรวจพบได้ ยา ART มีหลายประเภทที่ทำงานแตกต่างกัน แต่หลักการทำงานหลักของยา ART คือการยับยั้งการทำงานของไวรัส HIV และป้องกันไม่ให้ไวรัสเพิ่มจำนวน
- วิธีการใช้ยาต้านไวรัสเอชไอวี
- การใช้ยา ART ต้องทำตามคำแนะนำของแพทย์อย่างเคร่งครัด โดยต้องรับประทานยาในเวลาที่กำหนดและไม่ลืม การปฏิบัติตามแผนการรักษาอย่างสม่ำเสมอช่วยให้การควบคุมไวรัส HIV มีประสิทธิภาพและลดความเสี่ยงในการเกิดปัญหาสุขภาพที่เกี่ยวข้อง

การรักษา HIV มีผลข้างเคียงหรือไม่?
ผลข้างเคียงทั่วไป |
---|
ยาต้านไวรัสเอชไอวี อาจมีผลข้างเคียงบางประการ เช่น คลื่นไส้ ปวดหัว หรืออาการปวดกล้ามเนื้อ ผลข้างเคียงเหล่านี้ มักจะลดลงเมื่อเวลาผ่านไป หรืออาจได้รับการจัดการโดยการปรับเปลี่ยนยา |
ผลข้างเคียงระยะยาว |
---|
การใช้ยาต้านไวรัสเอชไอวี เป็นเวลานานอาจมีผลข้างเคียงระยะยาว เช่น ปัญหาการทำงานของตับ หรือความเสี่ยงในการเกิดโรคหัวใจ แพทย์จะติดตามผลการรักษา และทำการตรวจสุขภาพอย่างสม่ำเสมอเพื่อจัดการกับผลข้างเคียงที่อาจเกิดขึ้น |
HIV รักษาหายไหม?
การรักษาด้วยยาต้านไวรัสเอชไอวี ไม่ได้หมายความว่าหายจากเชื้อ ปัจจุบันยังไม่มีวิธีการรักษาที่สามารถกำจัด HIV ออกจากร่างกายได้อย่างสมบูรณ์ การรักษาด้วยยาต้านไวรัสเอชไอวี สามารถควบคุมไวรัสให้ต่ำลงจนไม่สามารถตรวจพบได้ แต่ HIV ยังมีอยู่ในร่างกายและต้องการการรักษาอย่างต่อเนื่อง
หลักการทำงานของยาต้านไวรัส
ยาต้านไวรัส HIV มีบทบาทในการยับยั้งไวรัสในขั้นตอนต่าง ๆ ของการเพิ่มจำนวนภายในเซลล์ ทำให้ปริมาณไวรัสในร่างกายลดลงจนอยู่ในระดับต่ำมากหรือระดับที่ตรวจไม่พบ (undetectable viral load) โดยยาต้านไวรัสแต่ละกลุ่มจะทำงานแตกต่างกัน ได้แก่:
- ยากลุ่ม NRTIs (Nucleoside Reverse Transcriptase Inhibitors): ยับยั้งการทำงานของเอนไซม์ reverse transcriptase ซึ่งเป็นเอนไซม์ที่ไวรัสใช้ในการเปลี่ยน RNA ของไวรัสเป็น DNA ภายในเซลล์
- ยากลุ่ม NNRTIs (Non-Nucleoside Reverse Transcriptase Inhibitors): ยับยั้งเอนไซม์ reverse transcriptase ในขั้นตอนอื่นๆ ที่แตกต่างจาก NRTIs
- ยากลุ่ม PIs (Protease Inhibitors): ยับยั้งเอนไซม์ protease ที่ไวรัสใช้ในการสร้างโปรตีนสำหรับการเพิ่มจำนวนของไวรัส
- ยากลุ่ม INIs (Integrase Inhibitors): ยับยั้งเอนไซม์ integrase ที่ไวรัสใช้ในการฝัง DNA ของไวรัสลงในเซลล์ของมนุษย์
- ยากลุ่ม Entry/Fusion Inhibitors: ยับยั้งการเข้าของไวรัส HIV เข้าสู่เซลล์เม็ดเลือดขาว
U=U (Undetectable = Untransmittable) เป็นหลักการที่อธิบายว่าผู้ที่ติดเชื้อ HIV และได้รับการรักษาด้วยยาต้านไวรัส (ART) จนปริมาณไวรัสในเลือดลดลงจนตรวจไม่พบ (undetectable viral load) จะไม่สามารถแพร่เชื้อ HIV ไปยังผู้อื่นผ่านการมีเพศสัมพันธ์ได้
ความหมายของสถานะ U=U |
---|
Undetectable (ตรวจไม่พบ): หมายถึง ปริมาณไวรัส HIV ในเลือดลดลงจนอยู่ในระดับที่ต่ำมากจนไม่สามารถตรวจพบได้ด้วยวิธีการทดสอบมาตรฐาน โดยทั่วไปปริมาณไวรัสที่ตรวจไม่พบคือระดับที่ต่ำกว่า 200 สำเนาไวรัสต่อมิลลิลิตรของเลือด |
Untransmittable (ไม่แพร่เชื้อ): เมื่อผู้ติดเชื้อมีปริมาณไวรัสในเลือดที่ตรวจไม่พบเป็นระยะเวลาต่อเนื่อง จะไม่สามารถแพร่เชื้อ HIV ไปยังผู้อื่นผ่านการมีเพศสัมพันธ์ได้ |

การรักษา HIV ต้องใช้เวลานานแค่ไหน?
การรักษา HIV นั้น เป็นกระบวนการที่ต้องดำเนินไปตลอดชีวิต เนื่องจากในปัจจุบันยังไม่มีวิธีการรักษาที่สามารถกำจัดไวรัสชนิดนี้ให้ออกจากร่างกายได้อย่างสมบูรณ์ อย่างไรก็ตาม ยาต้านไวรัส (Antiretroviral Therapy หรือ ART) สามารถช่วยควบคุมปริมาณไวรัสในร่างกายให้อยู่ในระดับต่ำจนตรวจไม่พบ ซึ่งช่วยให้ระบบภูมิคุ้มกันทำงานได้ดีขึ้นและป้องกันไม่ให้โรคพัฒนาสู่ภาวะเอดส์ (AIDS)
เหตุผลที่การรักษาต้องใช้ตลอดชีวิต
- ไวรัส HIV ฝังตัวอยู่ในร่างกาย: แม้ยาต้านไวรัสจะสามารถลดปริมาณไวรัสในเลือดจนตรวจไม่พบ แต่ไวรัส HIV สามารถซ่อนตัวอยู่ในเซลล์ของร่างกาย เช่น ในเซลล์เม็ดเลือดขาว เมื่อหยุดรับประทานยา ไวรัสที่ซ่อนอยู่นี้ สามารถกลับมาขยายตัวและเพิ่มจำนวนในร่างกายได้อีก
- การควบคุมไวรัส: การรักษาด้วยยา ART จะต้องดำเนินไปอย่างต่อเนื่องทุกวัน เพื่อควบคุมปริมาณไวรัสให้อยู่ในระดับต่ำตลอดเวลา หากผู้อยู่ร่วมกับเชื้อหยุดรับประทานยา ปริมาณไวรัสจะเพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็วและส่งผลต่อระบบภูมิคุ้มกัน
ประโยชน์ของการรักษาเอชไอวีอย่างต่อเนื่อง |
---|
✦ ป้องกันการแพร่เชื้อ: หากผู้ติดเชื้อรับประทานยาต้านไวรัสอย่างต่อเนื่องจนปริมาณไวรัสในร่างกายลดลงจนตรวจไม่พบ (undetectable viral load) ความเสี่ยงในการแพร่เชื้อ HIV ไปยังผู้อื่นผ่านการมีเพศสัมพันธ์จะลดลงอย่างมาก หรือแทบไม่มีเลย (หลักการ U=U: Undetectable = Untransmittable) ✦ ป้องกันการเกิดโรคแทรกซ้อน: การควบคุมปริมาณไวรัสจะช่วยลดความเสี่ยงต่อการเกิดโรคแทรกซ้อน เช่น โรคติดเชื้อฉวยโอกาส (opportunistic infections) และภาวะเอดส์ (AIDS) ✦ ยืดอายุขัย: ผู้ติดเชื้อ HIV ที่ได้รับการรักษาอย่างต่อเนื่องสามารถมีอายุขัยที่ใกล้เคียงกับคนทั่วไป และสามารถดำเนินชีวิตอย่างมีคุณภาพได้ |
ความก้าวหน้าในการรักษา
ปัจจุบันมีการพัฒนาการรักษา HIV อย่างต่อเนื่อง เช่น ยารับประทานที่ต้องรับเพียงวันละครั้ง หรือยาฉีดที่สามารถใช้เพียงทุก 1-2 เดือน เพื่อช่วยลดภาระในการรับประทานยาในชีวิตประจำวัน นอกจากนี้ยังมีการศึกษาวิจัยเพื่อค้นหาวิธีการรักษาที่อาจนำไปสู่การรักษาแบบถาวร (Cure) แต่ยังอยู่ในระยะทดลอง
การรักษา HIV ส่งผลต่อชีวิตประจำวันอย่างไร?
การรักษาด้วย ART ช่วยให้ผู้ป่วยสามารถมีชีวิตที่ปกติและทำกิจกรรมต่างๆ ได้ตามปกติ ผู้ป่วยสามารถทำงาน ดูแลครอบครัว และใช้ชีวิตอย่างเต็มที่ได้ เช่นเดียวกับคนที่ไม่ติดเชื้อ HIV และในการรักษาเอชไอวีจำเป็นต้องมีการจัดการสุขภาพที่ดี เช่น การรับประทานอาหารที่มีประโยชน์ การออกกำลังกาย และการตรวจสุขภาพอย่างสม่ำเสมอ การดูแลสุขภาพโดยรวมช่วยให้การรักษา HIV มีประสิทธิภาพและลดความเสี่ยงในการเกิดปัญหาสุขภาพ
มีเพศสัมพันธ์กับคนที่มี HIV ต้องระวังอะไรบ้าง?
การมีเพศสัมพันธ์กับคนที่อยู่ร่วมกับเชื้อเอชไอวี ควรใช้ถุงยางอนามัย เพื่อป้องกันการติดเชื้อทางเพศอื่นๆ และลดความเสี่ยงในการแพร่เชื้อ HIV แม้ว่าผู้ที่มี HIVมีสถานะ U=U จะไม่สามารถแพร่เชื้อไปยังผู้อื่นได้ แต่การใช้ถุงยางอนามัยยังคงมีความสำคัญ เพราะจะช่วยป้องกันโรคอื่นรวมถึงป้องกันการตั้งครรภ์ที่ไม่พึงประสงค์ได้ ทั้งนี้ การสื่อสารที่ดีและเปิดเผยเกี่ยวกับสถานะการรักษาของคุณกับคู่ของคุณเป็นสิ่งสำคัญ การสร้างความเข้าใจร่วมกันช่วยให้ความสัมพันธ์มีความมั่นคงและปลอดภัย
การตรวจสอบระดับไวรัส HIV ทำได้อย่างไร?
- การตรวจเลือด
- การตรวจเลือดเป็นวิธีหลักในการตรวจสอบระดับไวรัส HIV ในเลือด การตรวจเลือดจะช่วยให้แพทย์สามารถประเมินผลการรักษาและติดตามสถานะของการควบคุมไวรัสได้อย่างมีประสิทธิภาพ
- การตรวจเช็คระดับ CD4
- การตรวจเช็คระดับเซลล์ T CD4 เป็นการตรวจสุขภาพเพื่อประเมินสภาพของระบบภูมิคุ้มกัน การตรวจระดับ CD4 ช่วยให้แพทย์สามารถประเมินความสามารถของระบบภูมิคุ้มกันในการต่อสู้กับการติดเชื้ออื่นๆ
การรักษา HIV มีค่าใช้จ่ายสูงหรือไม่?
ค่าใช้จ่ายในการรักษา HIV อาจแตกต่างกันไปตามประเภทของยา และแผนการรักษา การรักษาด้วย ART มีค่าใช้จ่ายที่ต้องการการติดตามผลอย่างต่อเนื่อง ปัจจุบันคนไทยทุกคน มีสิทธิประโยชน์ตามกองทุนหลักประกันสุขภาพแห่งชาติ ครอบคลุมบริการ ทั้งการตรวจคัดกรองเอชไอวี-ป้องกัน การให้คำปรึกษา บริการรักษาและให้ยาต้านไวรัส ย้ำผู้ที่มีความเสี่ยงติดเชื้อเอชไอวีสามารถขอรับบริการตามสิทธิประโยชน์ได้ โดยไม่เสียค่าใช้จ่าย
สำหรับสิทธิประโยชน์การดูแลผู้อยู่ร่วมกับเชื้อเอชไอวีและผู้ป่วยเอดส์ในระบบหลักประกันสุขภาพแห่งชาติ มีหลากหลายบริการที่จำเป็น โดยมีทั้งรายการบริการสำหรับประชาชนที่ใช้สิทธิบัตรทอง และบริการที่ครอบคลุมประชาชนทุกสิทธิ ประกอบด้วย บริการยาต้านไวรัสสูตรพื้นฐานและสูตรดื้อยา บริการยาต้านไวรัสเพื่อป้องกันการติดเชื้อเอชไอวีจากมารดาสู่ทารก บริการยาต้านไวรัสเพื่อป้องกันการติดเชื้อเอชไอวีภายหลังสัมผัสโรคในกรณีสัมผัสเชื้อเอชไอวีจากการทำงานการให้บริการทางการแพทย์แก่ผู้ติดเชื้อเอชไอวี บริการยาต้านไวรัสป้องกันการติดเชื้อเอชไอวีหลังการสัมผัสที่ไม่ใช่จากการทำงานเฉพาะกรณีเป็นผู้ถูกล่วงละเมิดทางเพศ บริการยารักษาภาวะไขมันในเลือดสูงจากการรับประทานยาต้านไวรัส และบริการการตรวจชันสูตรทางห้องปฏิบัติการเพื่อวินิจฉัยหรือติดตามการรักษา เป็นไปตามแนวทางการตรวจรักษาและป้องกันการติดเชื้อเอชไอวีประเทศไทย ปี พ.ศ. 2560 โดยรวมถึงวัสดุอุปกรณ์ ในการเจาะเลือด และค่าขนส่งเพื่อส่งตัวอย่างตรวจ

การป้องกันการติดเชื้อ HIV ในอนาคตทำได้อย่างไร?
การใช้ยาเพร็พ PrEP (Pre-Exposure Prophylaxis) เป็นยาใช้ป้องกันการติดเชื้อเอชไอวี สำหรับผู้ที่มีความเสี่ยงสูง การใช้ยา PrEP สามารถช่วยลดความเสี่ยงในการติดเชื้อ HIV ได้มากกว่า 90% |
การใช้ถุงยางอนามัย เป็นวิธีที่มีประสิทธิภาพในการป้องกันการติดเชื้อเอชไอวีและโรคติดต่อทางเพศสัมพันธ์อื่นๆ การสวมถุงยางอนามัยทุกครั้งที่มีเพศสัมพันธ์และถูกวิธีสามารถช่วยลดความเสี่ยงในการติดเชื้อ |
ตรวจสุขภาพอย่างสม่ำเสมอ การตรวจสุขภาพทางเพศ ทั้งการหาเชื้อ HIV อย่างสม่ำเสมอเป็นสิ่งสำคัญในการตรวจจับและจัดการกับการติดเชื้อในระยะเริ่มต้น และช่วยให้คุณสามารถป้องกัน และควบคุมการติดเชื้อได้ดีขึ้น |
อ่านบทความอื่นๆ ที่น่าสนใจ
- Undetectable แล้วไม่สวมถุงยางอนามัยได้ไหม?
- อาหารเสริมเพิ่มภูมิ สำหรับผู้อยู่ร่วมกับเอชไอวี มีจริงหรือ?
สรุป การรักษาเอชไอวีเป็นกระบวนการที่สำคัญในการควบคุมไวรัส และป้องกันความเสียหายต่อระบบภูมิคุ้มกันของร่างกายผู้อยู่ร่วมกับเชื้อ การรักษาด้วยยาต้านไวรัสเอชไอวี หรือ ART สามารถลดปริมาณไวรัสในเลือดให้ต่ำ จนไม่สามารถตรวจพบได้ (U=U) แต่เชื้อเอชไอวียังมีอยู่ในร่างกาย และต้องการการรักษาอย่างต่อเนื่อง การมีความเข้าใจเกี่ยวกับการรักษา HIV และการจัดการกับคำถามที่พบบ่อย ช่วยให้คุณสามารถดูแลสุขภาพที่ดี และใช้ชีวิตอย่างมีคุณภาพได้
อ้างอิงข้อมูลจาก:
▸ รู้ไว้! ใช้ PrEP และ PEP อย่างถูกวิธี ช่วยลดความเสี่ยงติดเชื้อ HIV ได้มากขึ้น
www.phyathai.com/th/article/prep-and-pep
▸ การติดเชื้อเอชไอวีและโรคเอดส์กับแนวทางการรักษาในปัจจุบัน
www.rama.mahidol.ac.th/th/knowledge_awareness_health/25aug2020-1352
▸ สปสช. แจงสิทธิประโยชน์ “เอชไอวี/เอดส์” คุ้มครองตั้งแต่ตรวจ-ป้องกัน รับยาต้าน ไม่เสียค่าใช้จ่าย
www.hfocus.org/content/2023/11/28904