ความแตกต่างระหว่างเอชไอวีและเอดส์

ติดต่อสอบถามเพิ่มเติม

052 005 724

ความแตกต่างระหว่าง

เอชไอวีและเอดส์ เป็นคำที่มักได้ยินควบคู่กันในสังคม แต่หลายคนอาจยังสับสนว่าทั้งสองคำนี้แตกต่างกันอย่างไร บทความนี้จะอธิบายถึงความแตกต่างที่สำคัญระหว่างเอชไอวีและเอดส์ ตั้งแต่นิยาม สาเหตุ กระบวนการเกิดโรค ไปจนถึงวิธีการรักษาและการป้องกัน

เอชไอวีและเอดส์ คืออะไร ?

เอชไอวี (HIV) เอชไอวี ย่อมาจาก Human Immunodeficiency Virus หรือ ไวรัสภูมิคุ้มกันบกพร่องในมนุษย์ เป็นไวรัสชนิดหนึ่งที่เข้าไปทำลายระบบภูมิคุ้มกันของร่างกาย โดยเฉพาะเซลล์เม็ดเลือดขาวชนิด CD4 T cells ซึ่งมีหน้าที่สำคัญในการต่อสู้กับเชื้อโรคต่างๆ

เอดส์ (AIDS) เอดส์ ย่อมาจาก Acquired Immune Deficiency Syndrome หรือ กลุ่มอาการภูมิคุ้มกันบกพร่อง เป็นระยะสุดท้ายของการติดเชื้อเอชไอวี เกิดขึ้นเมื่อระบบภูมิคุ้มกันของร่างกายถูกทำลายจนอ่อนแอมาก ทำให้ร่างกายไม่สามารถต่อสู้กับเชื้อโรคฉวยโอกาสและมะเร็งบางชนิดได้

กระบวนการเกิดโรค

การติดเชื้อเอชไอวี

  • เมื่อไวรัสเอชไอวีเข้าสู่ร่างกาย มันจะเข้าไปยึดเกาะและทำลายเซลล์ CD4 T cells
  • ในระยะแรก ผู้ติดเชื้ออาจมีอาการคล้ายไข้หวัดใหญ่ แต่หลังจากนั้นอาจไม่แสดงอาการใดๆ เป็นเวลาหลายปี
  • ไวรัสจะทำลายระบบภูมิคุ้มกันอย่างช้าๆ แต่ต่อเนื่อง

การพัฒนาไปสู่โรคเอดส์

  • เมื่อระบบภูมิคุ้มกันถูกทำลายมากขึ้น จำนวน CD4 T cells จะลดลงเรื่อยๆ
  • เมื่อจำนวน CD4 T cells ต่ำกว่า 200 เซลล์ต่อลูกบาศก์มิลลิเมตรของเลือด หรือผู้ป่วยเริ่มมีอาการของโรคฉวยโอกาส จะถือว่าเข้าสู่ระยะเอดส์
  • ผู้ป่วยเอดส์จะเจ็บป่วยบ่อยและรุนแรงจากโรคติดเชื้อฉวยโอกาสหรือมะเร็งบางชนิด

อาการของเอชไอวีและเอดส์

อาการของผู้ติดเชื้อเอชไอวี

  • ระยะแรก: อาจมีไข้ เจ็บคอ ปวดเมื่อยตามตัว ต่อมน้ำเหลืองโต คล้ายอาการไข้หวัดใหญ่
  • ระยะไม่แสดงอาการ: ผู้ติดเชื้ออาจไม่มีอาการใดๆ เป็นเวลาหลายปี แต่ยังสามารถแพร่เชื้อได้
  • ระยะมีอาการ: เริ่มมีอาการเจ็บป่วยบ่อยขึ้น น้ำหนักลด มีไข้เรื้อรัง ท้องเสียเรื้อรัง

อาการของผู้ป่วยเอดส์

  • มีอาการรุนแรงจากโรคติดเชื้อฉวยโอกาส เช่น วัณโรค ปอดอักเสบ เยื่อหุ้มสมองอักเสบ
  • เกิดมะเร็งบางชนิด เช่น มะเร็งต่อมน้ำเหลือง มะเร็งปากมดลูก
  • น้ำหนักลดอย่างรวดเร็ว อ่อนเพลียมาก

การวินิจฉัย

  • การติดเชื้อเอชไอวีวินิจฉัยได้โดยการตรวจเลือดหาแอนติบอดีต่อเชื้อเอชไอวี หรือตรวจหาตัวไวรัสโดยตรง
  • การวินิจฉัยว่าเป็นเอดส์ จะพิจารณาจากจำนวน CD4 T cells และการเกิดโรคฉวยโอกาส

การรักษา

การรักษาผู้ติดเชื้อเอชไอวี

  • ใช้ยาต้านไวรัสเอชไอวี (Antiretroviral Therapy – ART) เพื่อยับยั้งการเพิ่มจำนวนของไวรัส
  • การรักษาแต่เนิ่นๆ และสม่ำเสมอช่วยให้ผู้ติดเชื้อมีอายุยืนยาวและมีคุณภาพชีวิตที่ดี
  • ปัจจุบัน ผู้ติดเชื้อที่ได้รับการรักษาอย่างมีประสิทธิภาพสามารถมีปริมาณไวรัสต่ำจนตรวจไม่พบ (Undetectable = Untransmittable)

การรักษาผู้ป่วยเอดส์

  • ใช้ยาต้านไวรัสเอชไอวีร่วมกับการรักษาโรคติดเชื้อฉวยโอกาสที่เกิดขึ้น
  • การฟื้นฟูระบบภูมิคุ้มกัน อาจต้องใช้เวลาและการดูแลอย่างใกล้ชิด

การป้องกัน

การป้องกัน เอชไอวีและเอดส์
  • การใช้ถุงยางอนามัยอย่างถูกวิธีทุกครั้งที่มีเพศสัมพันธ์
  • การใช้เข็มฉีดยาที่สะอาดและไม่ใช้ร่วมกับผู้อื่น
  • การป้องกันการติดเชื้อจากแม่สู่ลูกโดยการให้ยาต้านไวรัสแก่แม่ที่ติดเชื้อ
  • การใช้ยา PrEP (Pre-Exposure Prophylaxis) สำหรับผู้ที่มีความเสี่ยงสูง
  • การใช้ยา PEP (Post-Exposure Prophylaxis) หลังสัมผัสเชื้อภายใน 72 ชั่วโมง

ผลกระทบทางสังคมและจิตใจ

  • ผู้ติดเชื้อเอชไอวีและผู้ป่วยเอดส์มักเผชิญกับการตีตราและการเลือกปฏิบัติในสังคม
  • การให้ความรู้ที่ถูกต้องแก่สังคมเป็นสิ่งสำคัญในการลดอคติและส่งเสริมการอยู่ร่วมกัน
  • การสนับสนุนทางจิตใจและสังคมมีความสำคัญอย่างยิ่งต่อคุณภาพชีวิตของผู้ติดเชื้อและผู้ป่วย

สรุป ความเข้าใจที่ถูกต้องเกี่ยวกับความแตกต่างระหว่างเอชไอวีและเอดส์มีความสำคัญอย่างยิ่ง ไม่เพียงแต่ในแง่ของการรักษาและป้องกัน แต่ยังรวมถึงการสร้างความเข้าใจในสังคม การติดเชื้อเอชไอวีไม่ใช่การตัดสินชะตาชีวิต ด้วยการรักษาที่ก้าวหน้าในปัจจุบัน ผู้ติดเชื้อสามารถมีชีวิตที่ยืนยาวและมีคุณภาพ การให้ความรู้ การตรวจหาเชื้อแต่เนิ่นๆ และการเข้าถึงการรักษาที่มีประสิทธิภาพ จะช่วยลดการแพร่ระบาดและปรับปรุงคุณภาพชีวิตของผู้ที่อยู่ร่วมกับเชื้อเอชไอวีได้อย่างมีนัยสำคัญ

อ้างอิง