ในยุคที่การแพทย์ก้าวหน้าอย่างรวดเร็ว คำถามที่หลายคนสงสัยเกี่ยวกับเชื้อเอชไอวีคือถ้า ตรวจไม่เจอเชื้อ หรือ Undetectable แปลว่าหายแล้วใช่ไหม? คำตอบสั้นๆ คือ ไม่ใช่ การตรวจไม่พบเชื้อเอชไอวีไม่ได้หมายความว่า คุณหายขาดจากโรคแล้ว แต่อาจหมายถึง การควบคุมไวรัสเอชไอวีเป็นไปอย่างมีประสิทธิภาพ ในบทความนี้ เราจะอธิบายเหตุผลเบื้องหลังคำตอบนี้ และให้ข้อมูลที่สำคัญเกี่ยวกับเอชไอวี การตรวจเอชไอวี และการรักษาเอชไอวี
ก่อน ตรวจไม่เจอเชื้อ ต้องเข้าใจเอชไอวี และวิธีการตรวจ
เอชไอวี (HIV) หรือ Human Immunodeficiency Virus เป็นไวรัสที่ทำลายระบบภูมิคุ้มกันของร่างกาย โดยเฉพาะเซลล์ CD4 T ซึ่งมีหน้าที่สำคัญในการต่อสู้กับการติดเชื้อ เมื่อติดเอชไอวีร่างกาย จะไม่สามารถกำจัดไวรัสได้โดยสมบูรณ์ แต่การรักษาในปัจจุบัน สามารถควบคุมการแพร่กระจายของไวรัสเอชไอวีได้อย่างมีประสิทธิภาพ โดยไม่ต้องเจ็บป่วยจากโรคแทรกซ้อนที่อาจเกิดขึ้น
การตรวจหาเชื้อเอชไอวีมีหลายวิธี แต่ที่นิยมใช้มากที่สุดคือ:
(1) การตรวจหาแอนติบอดี ของไวรัสเอชไอวี (HIV Antibody Test) |
เป็นการตรวจเพื่อค้นหาการติดเชื้อเอชไอวีในร่างกาย โดยการตรวจนี้จะทำการค้นหา Antibody ซึ่งเป็นสารที่ระบบภูมิคุ้มกันของร่างกายสร้างขึ้นเพื่อตอบสนองต่อการติดเชื้อ HIV เมื่อไวรัสเข้าสู่ร่างกาย ระบบภูมิคุ้มกันจะผลิต Antibody เพื่อพยายามต่อสู้กับไวรัสนั้น เมื่อร่างกายของผู้ติดเชื้อได้รับไวรัสเอชไอวี Antibody จะถูกสร้างขึ้นมา ซึ่งกระบวนการนี้ อาจใช้เวลาตั้งแต่ 2-12 สัปดาห์ หลังจากการติดเชื้อครั้งแรก ในช่วงนี้จะเรียกว่า “ระยะฟักตัว” (Window Period) ซึ่งเป็นช่วงที่ร่างกายยังไม่ผลิต Antibody ในระดับที่สามารถตรวจพบได้ |
การตรวจหาแอนติบอดีของเอชไอวีสามารถทำได้หลายวิธี เช่น การเจาะเลือด หรือการเก็บตัวอย่างน้ำลาย โดยวิธีการที่แพร่หลายที่สุดคือ การเจาะเลือด ซึ่งสามารถให้ผลที่แม่นยำ และน่าเชื่อถือมากที่สุด |
(2) การตรวจหาแอนติเจน และแอนติบอดี (Antigen/Antibody Test) |
เป็นการตรวจที่ใช้ในการค้นหาการติดเชื้อไวรัสเอชไอวี ซึ่งสามารถตรวจพบได้ทั้งแอนติเจน (ส่วนประกอบของไวรัส) และแอนติบอดี (สารที่ร่างกายผลิตขึ้นเพื่อต่อสู้กับไวรัส) จึงเป็นวิธีที่แม่นยำและสามารถตรวจพบการติดเชื้อในระยะต้นได้เร็วกว่าการตรวจแอนติบอดีเพียงอย่างเดียว การตรวจนี้ส่วนใหญ่จะใช้การเจาะเลือดจากผู้เข้ารับการตรวจเพื่อนำตัวอย่างเลือดไปตรวจหาทั้งแอนติเจนและแอนติบอดีในห้องปฏิบัติการ ผลการตรวจจะสามารถบอกได้ว่ามีการติดเชื้อเอชไอวีหรือไม่ โดยสามารถตรวจพบได้เร็วถึง 2-4 สัปดาห์หลังจากการสัมผัสเชื้อ |
การตรวจหาแอนติเจน/แอนติบอดีถือเป็นการตรวจที่มีความแม่นยำสูง เพราะสามารถตรวจพบการติดเชื้อในช่วงแรกได้ โดยเฉพาะอย่างยิ่งในกรณีที่ผู้ติดเชื้ออยู่ในระยะต้นที่แอนติเจน p24 สามารถตรวจพบได้แล้ว แต่ร่างกายยังไม่ผลิตแอนติบอดีในระดับที่สามารถตรวจพบได้ |
(3) การตรวจหาสารพันธุกรรม ของไวรัสเอชไอวี (Nucleic Acid Test หรือ NAT) |
เป็นการตรวจทางห้องปฏิบัติการที่ใช้ในการค้นหาสารพันธุกรรม (RNA) ของไวรัสเอชไอวีโดยตรงในเลือด ซึ่งเป็นวิธีการตรวจที่แม่นยำและสามารถตรวจพบการติดเชื้อเอชไอวีได้เร็วที่สุดเมื่อเทียบกับวิธีการตรวจอื่นๆ NAT ทำงานโดยการตรวจสอบปริมาณไวรัสเอชไอวีในเลือดผ่านการตรวจหา RNA ของไวรัส ซึ่งเป็นสารพันธุกรรมที่ไวรัสใช้ในการทำสำเนาตัวเองในร่างกายมนุษย์ การตรวจนี้สามารถค้นพบไวรัสในระยะเวลาที่เร็วมาก (ประมาณ 10-33 วันหลังการสัมผัสเชื้อ) ซึ่งเร็วกว่าการตรวจหาแอนติบอดีหรือแอนติเจน การตรวจ NAT มักใช้วิธีที่เรียกว่า Polymerase Chain Reaction (PCR) ที่สามารถขยายสารพันธุกรรมของไวรัสในปริมาณที่เพียงพอให้ตรวจพบได้ |
การตรวจ NAT มักใช้การเก็บตัวอย่างเลือดจากผู้รับการตรวจ โดยการเจาะเลือดเพื่อนำไปวิเคราะห์ในห้องปฏิบัติการ ในห้องปฏิบัติการ นักวิทยาศาสตร์จะใช้วิธีการขยาย RNA ของไวรัสเอชไอวี (ด้วยวิธี PCR) และตรวจสอบว่ามีสารพันธุกรรมของไวรัสอยู่ในตัวอย่างเลือดหรือไม่ |
ทำไม ตรวจไม่เจอเชื้อ จึงไม่ได้หมายความว่าหายจาก HIV
- การตรวจไม่เจอเชื้อไม่ได้หมายความว่าไวรัสเอชไอวีหายไป
- ในผู้อยู่ร่วมกับเชื้อที่ได้รับการรักษาด้วยยาต้านไวรัสเอชไอวีอย่างเคร่งครัด ปริมาณไวรัสในเลือดจะลดลงจนต่ำกว่าระดับที่การตรวจทั่วไปจะตรวจพบได้นี่เรียกว่า “ปริมาณไวรัสต่ำกว่าที่ตรวจพบได้” (Undetectable Viral Load) แต่ไม่ได้หมายความว่าไวรัสได้หายไปจากร่างกายทั้งหมดแล้ว
- เอชไอวียังคงซ่อนตัวอยู่
- ไวรัสสามารถแฝงตัวอยู่ในเซลล์บางชนิดของร่างกาย เช่น ในระบบประสาทส่วนกลาง หรือในต่อมน้ำเหลือง ทำให้ไม่สามารถตรวจพบได้ในเลือด แต่ยังคงมีโอกาสที่จะกลับมาแพร่กระจายได้ หากผู้อยู่ร่วมกับเชื้อหยุดกระบวนการรักษา
- ระยะเวลาในการตรวจพบ
- หากเพิ่งติดเชื้อ อาจต้องใช้เวลาระยะหนึ่ง ก่อนที่การตรวจจึงจะสามารถตรวจพบเชื้อได้ นี่เรียกว่า “ระยะฟักตัว” (Window Period) ซึ่งอาจนานถึง 3 เดือน สำหรับการตรวจด้วยวิธีแอนติบอดีบางชนิด
- ความแม่นยำของการตรวจ
- แม้ว่าการตรวจหาเชื้อไวรัสเอชไอวีในปัจจุบัน จะมีความแม่นยำสูง แต่ก็ยังมีโอกาสเกิดผลลบปลอม (False Negative) ได้ โดยเฉพาะในช่วงแรกของการติดเชื้อ
การรักษา HIV ในปัจจุบัน
แม้ว่าในปัจจุบันยังไม่มีวิธีรักษาเอชไอวีให้หายขาดไปจากร่างกายได้จนหมดสิ้น แต่การรักษาด้วยยาต้านไวรัส (Antiretroviral Therapy หรือ ART) สามารถควบคุมการแพร่กระจายของเชื้อได้เป็นอย่างดี ทำให้ผู้อยู่ร่วมกับเชื้อ สามารถมีคุณภาพชีวิตที่ดี และมีอายุยืนยาวเหมือนกับคนทั่วไป ไม่ต้องกลัวการเจ็บป่วย
การรักษาด้วยยาต้านไวรัส HIV มีเป้าหมายหลักคือ:
- ลดปริมาณไวรัสในเลือดให้ต่ำที่สุด เท่าที่จะเป็นไปได้ (ต่ำกว่าที่ตรวจพบได้)
- เพิ่มจำนวนเซลล์ CD4 เพื่อฟื้นฟูระบบภูมิคุ้มกัน
- ป้องกันการแพร่เชื้อไปสู่ผู้อื่น
- ป้องกันการเกิดโรคแทรกซ้อนที่เกี่ยวข้องกับ HIV
การป้องกันการติดเชื้อ
การป้องกันยังคงเป็นวิธีที่ดีที่สุดในการต่อสู้กับเอชไอวี นอกจากการใช้ถุงยางอนามัยอย่างถูกวิธีแล้ว ยังมีวิธีป้องกันอื่นๆ ที่มีประสิทธิภาพ เช่น:
- เพร็พ PrEP (Pre-Exposure Prophylaxis): เป็นการใช้ยาต้านไวรัสในคนที่ยังไม่ติดเชื้อ แต่มีความเสี่ยงสูงที่จะติดเชื้อ เพื่อป้องกันเอชไอวี
- เป็ป PEP (Post-Exposure Prophylaxis): เป็นการใช้ยาต้านไวรัสหลังจากที่อาจสัมผัสเชื้อ เพื่อป้องกันการติดเชื้อ และต้องเริ่มใช้ยานี้ภายใน 72 ชั่วโมงหลังการสัมผัสเชื้อเอชไอวี
- การรักษาผู้ติดเชื้อให้มีปริมาณไวรัสต่ำกว่าที่ตรวจพบได้: ผู้อยู่ร่วมกับเชื้อที่ได้รับการรักษาจนมีปริมาณไวรัสต่ำกว่าที่ตรวจพบได้ แทบไม่มีโอกาสที่จะแพร่เชื้อให้ผู้อื่นเลย (Undetectable=Untransmittable หรือ U=U)
การอยู่ร่วมกับ HIV อย่างมีคุณภาพ
สำหรับผู้อยู่ร่วมกับเชื้อเอชไอวี การรักษาอย่างต่อเนื่อง และการดูแลสุขภาพที่ดีจะช่วยให้สามารถมีชีวิตที่ยืนยาวและมีคุณภาพ สิ่งสำคัญที่ควรปฏิบัติ ได้แก่:
- รับประทานยาต้านไวรัสอย่างสม่ำเสมอตามที่แพทย์สั่ง ไม่ขาดยา
- ไปพบแพทย์และตรวจสุขภาพตามนัดทุกครั้ง
- รับประทานอาหารที่มีประโยชน์และออกกำลังกายเป็นประจำ
- หลีกเลี่ยงพฤติกรรมเสี่ยง เช่น การดื่มแอลกอฮอล์ การใช้สารเสพติด การเปลี่ยนคู่นอนบ่อย
- ดูแลสุขภาพจิตและหาแหล่งสนับสนุนทางจิตใจ
ตรวจไม่พบเชื้อ ช่วยการลดการตีตรา
การตีตราและการเลือกปฏิบัติต่อผู้อยู่ร่วมกับเชื้อเอชไอวี ยังคงเป็นปัญหาสำคัญในสังคม ซึ่งส่งผลกระทบต่อคุณภาพชีวิต และการเข้าถึงการรักษา การให้ความรู้ และความเข้าใจที่ถูกต้องเกี่ยวกับไวรัสเอชไอวีแก่สาธารณชนเป็นสิ่งสำคัญในการลดปัญหานี้ ดังนั้น เราควรส่งเสริมให้เกิด:
☞ การให้ความรู้ที่ถูกต้องเกี่ยวกับไวรัสเอชไอวีและการแพร่เชื้อของโรคติดต่อทางเพศ |
☞ การส่งเสริมการยอมรับและเคารพในความหลากหลายของมนุษย์ และลดการเลือกปฏิบัติ |
☞ การสนับสนุนนโยบายและกฎหมายที่คุ้มครองสิทธิของผู้อยู่ร่วมกับเชื้อเอชไอวีให้เท่าเทียมกัน |
☞ การสร้างความตระหนักว่าผู้อยู่ร่วมกับเชื้อเอชไอวี สามารถมีชีวิตที่ปกติสุขและมีคุณภาพชีวิตที่ดีได้ |
อ่านบทความอื่นๆ ที่น่าสนใจ
สรุป
การตรวจไม่เจอเชื้อเอชไอวีนั้น ไม่ได้หมายความว่าหายจากโรค แต่เป็นสัญญาณที่ดีว่า การรักษากำลังได้ผล แม้ในปัจจุบันจะยังไม่มีวิธีรักษาเอชไอวีให้หายขาด แต่การใช้ยาต้านไวรัสสามารถควบคุมอาการได้อย่างมีประสิทธิภาพ ทำให้ผู้อยู่ร่วมกับเชื้อเอชไอวีสามารถมีชีวิตได้ปกติสุข การให้ความรู้ที่ถูกต้อง การลดการตีตรา และการสนับสนุนจากชุมชนและสังคม เป็นสิ่งสำคัญในการควบคุมการแพร่ระบาดของเอชไอวีและช่วยให้ผู้อยู่ร่วมกับเชื้อเอชไอวีสามารถอยู่ร่วมกับโรคได้อย่างมีความสุข สุดท้ายนี้ เราทุกคนมีบทบาทสำคัญในการสร้างสังคมที่เข้าใจ ยอมรับ และให้การสนับสนุนผู้อยู่ร่วมกับเชื้อเอชไอวีด้วยการให้ความรู้ที่ถูกต้อง ลดการตีตรา และส่งเสริมการเข้าถึงการรักษาที่มีคุณภาพสำหรับทุกคน เพียงเท่านี้ เราก็จะสามารถก้าวไปสู่โลกที่ปลอดจาก AIDS ได้ในที่สุดครับ
อ้างอิงข้อมูลจาก:
สถาบันเพื่อการวิจัยและนวัตกรรมด้านเอชไอวี
https://ihri.org/th/get-to-know-uu-more-with-these-6-universally-proven-facts
ข้อมูล U=U หมายความว่าอย่างไร และจะมีวิธีการตรวจสอบผู้ติดเชื้อที่อยู่ในภาวะ U ได้อย่างไร
https://tmc.or.th/pdf/tmc_knowlege-30.pdf
ไขข้อข้องใจความเชื่อผิดๆ เกี่ยวกับโรคเอดส์
https://www.medparkhospital.com/lifestyles/world-aids-day