HIV ย่อมาจาก Human Immunodeficiency Virus เป็นเชื้อไวรัสที่เมื่อร่างกายได้รับเชื้อเข้าไปแล้ว เชื้อจะเข้าไปทำลาย CD4 ซึ่งเป็นชื่อของเม็ดเลือดขาวชนิดหนึ่ง ที่เกี่ยวข้องกับระบบทำงานของระบบภูมิคุ้มกันของร่างกาย เชื้อจะทำลาย CD4 เรื่อยๆจนระดับ CD4 ในร่างกายลดต่ำลงกว่า 200 เซลล์ต่อ ลบ.มม. จะมีโอกาสติดเชื้อจากโรคฉวยโอกาสได้ บทความนี้จะให้ความรู้เกี่ยวกับวิธีการ ทำอย่างไรให้อยู่ใน สถานะ U = U
การรักษาเอชไอวีด้วยยาต้านไวรัส
ยาต้านไวรัสเอชไอวี เป็นหัวใจสำคัญในการรักษาเอชไอวีในปัจจุบัน แพทย์จะพิจารณาให้ผู้ป่วยเริ่มยาโดยเร็วที่สุด เพื่อป้องกันการดำเนินไปของโรค และป้องกันการแพร่กระจายของเชื้อไวรัส ไปสู่ผู้อื่น ผู้ป่วยจะได้รับยาต้านไวรัสเอชไอวีอย่างน้อย 3 ชนิด รับประทานยาตรงเวลาทุกวัน อย่างต่อเนื่องไปตลอดชีวิต เพื่อยับยั้งการแบ่งตัวเพิ่มจำนวนของไวรัส ไม่ให้ก่อให้เกิดอาการแสดงของโรคเอดส์ตามมา กรณีที่ผู้ป่วยเกิดผลข้างเคียง หรือสงสัยแพ้ยา ควรรีบกลับมาพบแพทย์ ไม่ควรหยุดยา หรือปรับขนาดยาเองเด็ดขาด อย่างไรก็ตาม ยาต้านไวรัสสูตรที่ใช้ในปัจจุบันมีผลข้างเคียงลดลงกว่าแต่ก่อนมาก โดยแพทย์จะติดตามเฝ้าระวังการเกิดผลข้างเคียง ปรับสูตรยาให้เหมาะสมกับสภาวะโรคร่วมของผู้ป่วย จึงมีความจำเป็นที่ผู้ป่วยจะต้องมาพบแพทย์ตามนัด เพื่อให้สามารถใช้ยาได้อย่างปลอดภัยในระยะยาว
ยาต้านไวรัสเอชไอวี 3 กลุ่ม
- กลุ่มแรก คือ nucleoside reverse transcriptase inhibitors (RTIs) ยกตัวอย่างยาในกลุ่มนี้เช่น AZT (Retrovir), DDI (Videx), DDC (Hivid), 3TC (Epivir), และ D4T (Zerit)
- กลุ่มที่สอง คือ protease inhibitors (PIs) เช่น Indinavir (Crixivan), Nelfinavir (Viracept), Ritonavir (Norvir), Saquinavir จากรายงานการศึกษาล่าสุดพบว่า การให้ยาเพียงตัวเดียวไม่ว่าชนิดไหนก็ไม่มีพลังเพียงพอที่จะสามารถหยุดการแบ่งตัวของไวรัสได้ นอกจากนี้ยังเป็นการทำให้เกิดการดื้อยาอีกด้วย
- กลุ่มที่สาม คือ non-nucleoside reverse transcriptase ซึ่งออกฤทธิ์คล้ายกลุ่มแรก แต่ในตำแหน่งที่แตกต่างกัน มียาที่ใช้อยู่ เช่น Delavirdine (Rescriptor), Efavirenz (Sustiva), Nevirapine (Viramune) ยาต้านไวรัส HIV ทั้ง 3 กลุ่มส่วนใหญ่อยู่ในรูปของยากินเพื่อความสะดวกในการบริหารยา เพียงแต่ว่าราคานั้นยังจัดว่าแพง ในขณะนี้เรากำลังรอรับฟัง และติดตามผลการรักษาอยู่
ประโยชน์ของ U = U
ด้านสุขภาพ
- ช่วยให้ผู้ติดเชื้อเอชไอวี มีสุขภาพแข็งแรง
- ช่วยให้ระบบภูมิคุ้มกันทำงานได้ดี
- ช่วยลดความเสี่ยง ต่อการเกิดโรคฉวยโอกาส
- ช่วยให้มีอายุยืนยาว
ด้านจิตใจ
- ช่วยให้ผู้ติดเชื้อเอชไอวี รู้สึกมั่นใจ
- ช่วยลดความวิตกกังวล
- ช่วยให้มีคุณภาพชีวิตที่ดีขึ้น
ด้านความสัมพันธ์
- ช่วยให้ผู้ติดเชื้อเอชไอวี สามารถมีเพศสัมพันธ์กับคู่ครองได้ โดยไม่ต้องกังวลว่าจะแพร่เชื้อ
- ช่วยให้มีความสัมพันธ์ที่ใกล้ชิดกับคู่ครองมากขึ้น
- ช่วยให้มีครอบครัวได้
ด้านสังคม
- ช่วยลดอคติ ต่อผู้ติดเชื้อเอชไอวี
- ช่วยให้ผู้ติดเชื้อเอชไอวี สามารถใช้ชีวิตได้อย่างปกติในสังคม
- ช่วยให้ผู้ติดเชื้อเอชไอวี มีโอกาสในการทำงาน เรียนหนังสือ และสร้างครอบครัว
ด้านการป้องกันการแพร่ระบาดของเอชไอวี
- ช่วยลดจำนวน ผู้ติดเชื้อเอชไอวี รายใหม่
- ช่วยให้บรรลุเป้าหมาย ในการยุติโรคเอดส์
อย่างไรก็ตาม U = U ไม่ได้หมายความว่าผู้ติดเชื้อเอชไอวี จะหยุดทานยาต้านไวรัส หรือละเลยการรักษา ผู้ติดเชื้อ เอชไอวี จำเป็นต้องทาน ยาต้านไวรัส อย่างสม่ำเสมอ ตรวจวัดปริมาณเชื้อไวรัสในเลือด (viral load) และเข้ารับการปรึกษากับแพทย์อย่างสม่ำเสมอ
สถานะ U = U ทำได้อย่างไร
- เข้ารับการตรวจเอชไอวี: การรู้สถานะเอชไอวี ของตนเองเป็นสิ่งสำคัญ
- เริ่มการรักษาด้วยยาต้านไวรัส: ยาต้านไวรัสจะช่วยควบคุมจำนวนไวรัสเอชไอวี ในร่างกาย
- กินยายาต้านไวรัสอย่างสม่ำเสมอ: กินยาตามแพทย์สั่งทุกวัน อย่างเคร่งครัด
- ตรวจวัดปริมาณไวรัส (viral load) เป็นประจำ: ตรวจวัดเพื่อดูว่ายาต้านไวรัสทำงานได้ผลดี
- ติดตามผลกับแพทย์: พบแพทย์ตามนัด เพื่อรับคำแนะนำ และตรวจสุขภาพ
- ออกกำลังกาย: หมั่นออกกำลังกายสม่ำเสมอ แต่ไม่ควรหักโหมจนเกินไป
- รับประทานอาหารที่มีประโยชน์
อ่านบทความอื่นๆ เพิ่มเติม
การรักษาเอชไอวี ในปัจจุบันมีประสิทธิภาพสูง ผู้ติดเชื้อเอชไอวี สามารถใช้ชีวิตได้อย่างปกติ มีสุขภาพดี และไม่แพร่เชื้อไปยังผู้อื่น U = U เป็นความหวังใหม่สำหรับผู้ติดเชื้อเอชไอวี ช่วยให้พวกเขามีชีวิตที่ดีขึ้น และอยู่ร่วมกับสังคมได้อย่างปกติ