เอชไอวี/เอดส์ คืออะไร ?

ติดต่อสอบถามเพิ่มเติม

052 005 724

เอชไอวี/เอดส์ คืออะไร ?

เอชไอวี/เอดส์ เป็นหนึ่งในโรคที่ส่งผลกระทบต่อมนุษยชาติอย่างกว้างขวางในช่วงหลายทศวรรษที่ผ่านมา ความเข้าใจที่ถูกต้องเกี่ยวกับโรคนี้มีความสำคัญอย่างยิ่งในการป้องกัน รักษา และลดการตีตราทางสังคม บทความนี้จะอธิบายรายละเอียดเกี่ยวกับเอชไอวี/เอดส์ ตั้งแต่สาเหตุ การติดต่อ อาการ การวินิจฉัย การรักษา ไปจนถึงผลกระทบทางสังคมและเศรษฐกิจ

นิยามและความแตกต่างระหว่างเอชไอวีและเอดส์

เอชไอวี (HIV) ย่อมาจาก Human Immunodeficiency Virus หรือไวรัสภูมิคุ้มกันบกพร่องของมนุษย์ เป็นไวรัสที่เข้าไปทำลายระบบภูมิคุ้มกันของร่างกาย โดยเฉพาะเซลล์เม็ดเลือดขาวชนิด CD4 T cells ซึ่งมีหน้าที่สำคัญในการต่อสู้กับเชื้อโรค เอชไอวีแพร่กระจายผ่านการสัมผัสกับของเหลวในร่างกายที่ติดเชื้อ เช่น เลือด น้ำอสุจิ สารคัดหลั่งจากช่องคลอด และน้ำนมแม่ ผู้ติดเชื้ออาจไม่แสดงอาการในระยะแรก แต่บางคนอาจมีอาการคล้ายไข้หวัดใหญ่หลังติดเชื้อประมาณ 2-4 สัปดาห์

เอดส์ (AIDS) ย่อมาจาก Acquired Immunodeficiency Syndrome หรือกลุ่มอาการภูมิคุ้มกันบกพร่อง เป็นระยะสุดท้ายของการติดเชื้อเอชไอวีที่ไม่ได้รับการรักษา แพทย์จะวินิจฉัยว่าเป็นเอดส์เมื่อผู้ป่วยมีจำนวนเซลล์ CD4 ต่ำกว่า 200 เซลล์ต่อลูกบาศก์มิลลิเมตรของเลือด หรือมีโรคฉวยโอกาสเกิดขึ้น ในระยะนี้ ผู้ป่วยจะมีภูมิคุ้มกันต่ำมาก ทำให้เกิดโรคติดเชื้อฉวยโอกาสและมะเร็งบางชนิดได้ง่าย

เอชไอวีเป็นไวรัสที่ก่อให้เกิดโรคเอดส์ แต่ผู้ติดเชื้อเอชไอวีไม่จำเป็นต้องเป็นเอดส์เสมอไป โดยเฉพาะถ้าได้รับการรักษาที่เหมาะสม การรักษาด้วยยาต้านไวรัสสามารถชะลอการดำเนินโรคจากเอชไอวีไปสู่เอดส์ได้ การป้องกันทำได้โดยใช้ถุงยางอนามัยทุกครั้งเมื่อมีเพศสัมพันธ์ ไม่ใช้เข็มฉีดยาร่วมกับผู้อื่น ตรวจเลือดก่อนตั้งครรภ์หรือแต่งงาน และสำหรับผู้ติดเชื้อ ควรรับการรักษาด้วยยาต้านไวรัสอย่างสม่ำเสมอ

ประวัติและการค้นพบ

เอชไอวีถูกค้นพบครั้งแรกในปี ค.ศ. 1981 เมื่อแพทย์ในสหรัฐอเมริกาสังเกตเห็นกลุ่มชายรักร่วมเพศที่มีอาการของโรคแปลกๆ เช่น ปอดอักเสบชนิดพิเศษและมะเร็งผิวหนังที่หายาก ในปี 1983 นักวิทยาศาสตร์ฝรั่งเศสได้แยกเชื้อไวรัสที่เป็นสาเหตุของโรคนี้ได้สำเร็จ และต่อมาได้รับการตั้งชื่อว่า HIV

การติดต่อและปัจจัยเสี่ยง เอชไอวี/เอดส์

เอชไอวีติดต่อได้หลายทาง ได้แก่

  • การมีเพศสัมพันธ์ที่ไม่ป้องกันกับผู้ติดเชื้อ ทั้งทางช่องคลอด ทวารหนัก และช่องปาก
  • การใช้เข็มฉีดยาหรืออุปกรณ์ฉีดยาร่วมกับผู้ติดเชื้อ
  • การรับเลือดหรือผลิตภัณฑ์จากเลือดที่มีเชื้อ (แม้ว่าในปัจจุบันจะมีการตรวจคัดกรองเลือดอย่างเข้มงวดแล้ว)
  • การติดต่อจากแม่สู่ลูกระหว่างตั้งครรภ์ คลอด หรือให้นมบุตร
  • การสัมผัสกับของเหลวในร่างกายที่มีเชื้อ เช่น เลือด น้ำอสุจิ สารคัดหลั่งจากช่องคลอด ผ่านบาดแผลหรือเยื่อเมือก

ปัจจัยเสี่ยงที่เพิ่มโอกาสการติดเชื้อ ได้แก่ การมีคู่นอนหลายคน การไม่ใช้ถุงยางอนามัย การใช้ยาเสพติดชนิดฉีด และการมีโรคติดต่อทางเพศสัมพันธ์อื่นๆ

อาการของโรค เอชไอวี/เอดส์

การติดเชื้อเอชไอวีแบ่งออกเป็นหลายระยะ

  • ระยะเฉียบพลัน: เกิดขึ้น 2-4 สัปดาห์หลังติดเชื้อ อาจมีอาการคล้ายไข้หวัดใหญ่ เช่น มีไข้ ปวดเมื่อยตามตัว ต่อมน้ำเหลืองโต ซึ่งมักหายไปเองใน 1-2 สัปดาห์
  • ระยะไม่แสดงอาการ: อาจยาวนานหลายปี ผู้ติดเชื้อไม่มีอาการผิดปกติ แต่ไวรัสยังคงทำลายระบบภูมิคุ้มกันอย่างช้าๆ
  • ระยะมีอาการ: เมื่อระบบภูมิคุ้มกันอ่อนแอลงมาก จะเริ่มมีอาการต่างๆ เช่น ต่อมน้ำเหลืองโตเรื้อรัง น้ำหนักลด มีไข้เรื้อรัง ท้องเสียเรื้อรัง
  • ระยะเอดส์: เป็นระยะสุดท้าย เมื่อระบบภูมิคุ้มกันถูกทำลายมาก ทำให้เกิดโรคฉวยโอกาสและมะเร็งบางชนิด เช่น วัณโรค ปอดอักเสบจากเชื้อ Pneumocystis jirovecii มะเร็งต่อมน้ำเหลือง

การวินิจฉัย เอชไอวี/เอดส์

การวินิจฉัยการติดเชื้อเอชไอวีทำได้โดยการตรวจเลือด ซึ่งมีหลายวิธี ได้แก่

  1. HIV p24 antigen testing เป็นการตรวจหา antigen ของเชื้อไวรัสเอชไอวีในร่างกาย เหมาะสำหรับผู้ติดเชื้อระยะแรกที่ยังไม่สร้าง Anti-HIV และสามารถตรวจพบได้หลังติดเชื้อประมาณ 2 สัปดาห์
  2. Anti-HIV testing ตรวจหาแอนติบอดีจำเพาะต่อเชื้อเอชไอวี เป็นวิธีที่นิยมใช้ในการตรวจคัดกรองทั่วไป ตรวจพบได้หลังติดเชื้อประมาณ 3-4 สัปดาห์ คนไทยสามารถตรวจฟรีได้ปีละ 2 ครั้งในโรงพยาบาลรัฐ
  3. HIV Ag/Ab combination assay ตรวจทั้ง antigen และ antibody ในคราวเดียว เรียกอีกชื่อว่า Fourth generation สามารถตรวจพบได้หลังติดเชื้อประมาณ 2 สัปดาห์ และเป็นวิธีที่นิยมใช้อย่างแพร่หลายในการคัดกรอง
  4. Nucleic Acid Test (NAT) เป็นการตรวจหาสารพันธุกรรมของเชื้อไวรัสเอชไอวี เป็นวิธีที่ตรวจพบได้เร็วที่สุด ภายใน 3-7 วันหลังติดเชื้อ แต่ส่วนใหญ่ใช้ในการคัดกรองเลือดจากผู้บริจาคเป็นหลัก ยังไม่นิยมใช้ในการคัดกรองผู้ป่วยทั่วไป

การรักษา

การรักษา เอชไอวีเอดส์

ปัจจุบันยังไม่มีวิธีรักษาเอชไอวีให้หายขาด แต่มียาต้านไวรัสที่มีประสิทธิภาพสูงในการควบคุมการเพิ่มจำนวนของไวรัส ทำให้ผู้ติดเชื้อมีคุณภาพชีวิตที่ดีและอายุยืนยาวขึ้น การรักษาในปัจจุบันเรียกว่า การรักษาด้วย ยาต้านไวรัส (Antiretroviral Therapy หรือ ART) ซึ่งใช้ยาตั้งแต่ 3 ชนิดขึ้นไปร่วมกัน การรักษาเอชไอวีในปัจจุบันมุ่งเน้นการดูแลแบบองค์รวม ไม่เพียงแต่ควบคุมไวรัสเท่านั้น แต่ยังคำนึงถึงคุณภาพชีวิตโดยรวมของผู้ติดเชื้อ ด้วยความก้าวหน้าทางการแพทย์ ผู้ติดเชื้อเอชไอวีในปัจจุบันสามารถมีชีวิตที่มีคุณภาพใกล้เคียงกับคนทั่วไปได้ หากได้รับการรักษาอย่างเหมาะสมและต่อเนื่อง

การป้องกัน

การป้องกันการติดเชื้อเอชไอวีทำได้หลายวิธี

  • การมีเพศสัมพันธ์ที่ปลอดภัย โดยใช้ถุงยางอนามัยอย่างถูกต้องทุกครั้ง
  • การไม่ใช้เข็มฉีดยาร่วมกับผู้อื่น
  • การตรวจเลือดก่อนแต่งงานหรือมีบุตร
  • การป้องกันการติดเชื้อจากแม่สู่ลูกโดยการให้ยาต้านไวรัสแก่มารดาระหว่างตั้งครรภ์และทารกหลังคลอด
  • การใช้ยาป้องกัน ก่อน การสัมผัสเชื้อ (Pre-Exposure Prophylaxis หรือ PrEP) ในกลุ่มเสี่ยงสูง
  • การใช้ยาป้องกัน หลัง การสัมผัสเชื้อ (Post-Exposure Prophylaxis หรือ PEP) ในกรณีที่มีความเสี่ยงสูงต่อการติดเชื้อ

เอชไอวี/เอดส์ ยังคงเป็นปัญหาสาธารณสุขที่สำคัญของโลก แม้ว่าเอชไอวีจะยังเป็นโรคที่รักษาไม่หายขาด แต่ด้วยความก้าวหน้าทางการแพทย์ ผู้ติดเชื้อสามารถมีชีวิตที่ยืนยาวและมีคุณภาพชีวิตที่ดีได้ การให้ความรู้ ลดการตีตรา และส่งเสริมการป้องกัน ยังคงเป็นสิ่งสำคัญในการควบคุมการแพร่ระบาดของเอชไอวีทั่วโลก

อ้างอิง