ทำความรู้จัก U = U ไม่เจอเท่ากับไม่แพร่

By kappok tongtana

ในขณะนี้ยังไม่มียาหรือวัคซีนตัวใดที่ได้ผลลัพธ์ในการป้องกันหรือรักษาการติดเชื้อ HIV ที่สามารถรักษาให้หายไปจากร่างกายได้ หากติดเชื้อแล้วไวรัสนี้จะยังคงอยู่ตลอดไป ดังนั้นต้องดูแลตัวเอง กินยาอย่างสม่ำเสมอจนกลายเป็น  U = U  ที่สำคัญ ต้องพบและทำตามคำแนะนำของแพทย์อย่างเคร่งครัด อย่าใช้ยาใดที่ยังไม่ได้มีการศึกษาวิจัย ว่ามีประสิทธิภาพในการต้านเชื้อไวรัส HIV 

U = U  คืออะไร?

U = U หรือ Undetectable = Untransmissible หมายความว่า ไม่พบเชื้อ = ไม่แพร่เชื้อ หากผู้ติดเชื้อ Hiv ได้รับการรักษาด้วยยาต้านไวรัสและกินยาอย่างสม่ำเสมอและตรงเวลา จนมีปริมาณเชื้อไวรัส HIV ในเลือดที่ต่ำมาก (ต่ำกว่า 40 copies ต่อ มล.) หรือตรวจไม่พบเชื้อ(Undetectable) ติดต่อกันก็จะไม่สามารถแพร่เชื้อได้ และเป็นข้อความที่ใช้ในบริบทของเอชไอวี เป็นข้อความที่มีอิทธิพลและได้รับการสนับสนุนทางวิทยาศาสตร์ที่เน้นข้อเท็จจริงที่ว่าผู้ติดเชื้อเอชไอวีที่รักษาโดยยาต้านไวรัสจะทำให้มีปริมาณไวรัสน้อยหรือตรวจไม่พบจนไม่สามารถแพร่เชื้อไวรัสทางเพศสัมพันธ์ได้

ทำไมถึงตรวจไม่เจอเชื้อ HIV?

การตรวจแล้วไม่เจอเชื้อไวรัส HIV ไม่ได้หมายความว่าหายแล้วเป็นปกติ  แต่มีความหมายว่ายาได้ทำลายไวรัสจนทำให้ไวรัสมีปริมาณน้อยแต่ ยังมีไวรัสอยู่ในร่างกาย ดังนั้นถ้าผู้ป่วยกินยาไม่ตรงเวลาหรือลืมกินยาและไม่ปฎิบัติตามแพทย์สั่งอาจทำให้ร่างกายทรุดลงได้

Love2test

ทำอย่างไรถึงจะกลายเป็นสถานะ U=U

  • รับประทานยาอย่างสม่ำเสมอ
  • ไม่ลืมทานยา
  • ไม่ควรใช้ยาอื่นๆนอกเหนือจากแพทย์กำหนด
  • ถ้ามีผลข้างเคียงในการใช้ยาควรปรึกษาแพทย์

U = U ทำให้เกิดการเปลี่ยนแปลงอย่างไร

  1. ลดจำนวนผู้ติดเชื้อรายใหม่ เพราะว่าสถานะ U=U นั้นผู้ติดเชื้อจะมีปริมาณเชื้อ HIV น้อยมากจนไม่สามารถแพร่เชื้อต่อได้ทำให้สามารถลดจำนวนผู้ติดเชื้อลงได้
  2. คู่รักเกิดความรู้ความเข้าใจและใชัชีวิตร่วมกันได้อย่างมีความสุข เพราะการมีความรู้เรื่อง U=U จะช่วยลดความกังวลเกี่ยวกับการติดเชื้อได้มากขึ้นและทำให้เกิดการบอกต่อหรือส่งความรู้ไปยังคนอื่นและสร้างสังคมที่ไร้การตีตราผู้ติดเชื้อมากขึ้น
  3. คนกล้าเข้าสู่การตรวจมากยิ่งขึ้น เพราะรู้ว่ามีการรักษาที่รวดเร็วนั้นสามารถทำให้ใช้ชีวิตได้ปกติได้
  4. การตีตรา และการกีดกันผู้ติดเชื้ออาจจะเบาบางลงเพราะมีความรู้ความเข้าใจในเรื่องของ HIV และสถานะการติดเชื้อ U=U มากขึ้น
  5. ผู้ติดเชื้อเข้าสู่กระบวนการรักษาได้ไวขึ้นเพราะรู้ตัวเร็วก็สามารถหายได้ หากได้รับการรักษาที่ทันท่วงทีนั้นจะสามารถยับยั้งเชื้อไวรัสได้หรือจะทำให้ปริมาณไวรัสในเลือดน้อยลงมากๆ U=U และลดการแพร่เชื้อได้

ความสำคัญของ U=U

สิ่งสำคัญคือต้องจำไว้ว่าปริมาณไวรัสที่ตรวจไม่พบจำเป็นต้องปฏิบัติตามการรักษาด้วย ยาต้านไวรัส (ART) เป็นประจำและติดตามอย่างสม่ำเสมอเพื่อให้แน่ใจว่าการรักษามีประสิทธิภาพ ควรรับคำแนะนำจากแพทย์อย่างใกล้ชิดเพื่อกำหนดแผนการรักษาที่เหมาะสมที่สุด และตรวจเลือดติดตามปริมาณไวรัสและสุขภาพโดยรวมอย่างสม่ำเสมอ

ผลกระทบของ U = U

U = U มีผลกระทบอย่างมากในการลดความเข้าใจผิดและส่งเสริมความเข้าใจที่ดีขึ้นเกี่ยวกับการแพร่เชื้อเอชไอวี โดยเน้นย้ำว่าการรักษาที่มีประสิทธิภาพไม่เพียงแต่ช่วยด้านผลลัพธ์ด้านสุขภาพของผู้ที่ติดเชื้อเอชไอวีเท่านั้น แต่ยังช่วยลดความเสี่ยงของการแพร่เชื้อไวรัสทางเพศสัมพันธ์อีกด้วย

90-90-90: เป้าหมายการรักษาเพื่อช่วยยุติการแพร่ระบาดของโรคเอดส์

การยุติการแพร่ระบาดของโรค 90-90-90 แสดงถึงโอกาสอันสำคัญในการวางรากฐานสำหรับโลกที่มีสุขภาพที่ดี และเท่าเทียมกันสำหรับคนรุ่นหลัง การยุติการแพร่ระบาดของโรคเอดส์จะสร้างแรงบันดาลใจในวงกว้างต่อสุขภาพและการพัฒนาทั่วโลก 90-90-90 จึงหมายถึง

  • 90% ของผู้ติดเชื้อเอชไอวีจะรู้สถานะเอชไอวีของตน
  • 90% ของผู้ที่ได้รับการวินิจฉัยว่าติดเชื้อเอชไอวีจะได้รับการรักษาด้วยยาต้านไวรัสอย่างต่อเนื่อง
  • 90% ของผู้ที่ได้รับการรักษาด้วยยาต้านไวรัสจะยับยั้งไวรัสสำเร็จ
  • ถ้าเราอยู่ในสถานะ U=U แล้วสามารถมีเพศสัมพันธ์แบบไม่สวมถุงยางอนามัยได้ไหม? 

การศึกษาการแพร่เชื้อทางคลินิกจำนวนมาก รวมถึงการทดลอง PARTNER และ HPTN 052 ที่ก้าวล้ำ แสดงให้เห็นว่าสามารถยับยั้งไวรัสอย่างต่อเนื่องและจะไม่แพร่เชื้อเอชไอวีทางเพศสัมพันธ์ แม้จะไม่ได้ใป้องกันเพิ่มเติมเช่น การสวมถุงยางอนามัย ก็ตาม

คำศัทพ์ที่ควรรู้

  • Viral load: การวัดปริมาณของเชื้อเอชไอวีในร่างกาย
  • Viral suppression: เมื่อใช้ยา ART ไปเป็นเวลานานอย่างสม่ำเสมอจะลดความสามารถของไวรัสที่
  • Undetectable viral load: ระดับไวรัสในร่างกายของพวกเขาจึงต่ำเกินมาตรฐานการตรวจเลือดไม่สามารถตรวจพบได้
  • Untransmittable: ไม่สามารถแพร่เชื้อเอชไอวีได้ติดต่อผ่านทางเพศสัมพันธ์เมื่อปริมาณไวรัสต่ำกว่า 200/มล

“สถานะ U = U ไม่พบเชื้อ = ไม่แพร่เชื้อนั้นไม่สามารถเหมารวมกับโรคติดต่อทางเพศสัมพันธ์อื่นๆได้”

ที่สำคัญคือต้องสังเกตว่าแม้จะมีปริมาณไวรัสที่ตรวจไม่พบน้อยแล้ว แต่ก็ยังมีความสำคัญที่จะต้องมีเพศสัมพันธ์อย่างปลอดภัยโดยใช้ถุงยางอนามัยและมีส่วนร่วมในการปรึกษาหารือเรื่องสุขภาพทางเพศกับคู่นอนเป็นประจำ โรคติดต่อทางเพศสัมพันธ์ (STIs) อื่น ๆ ยังคงสามารถแพร่เชื้อได้ และควรป้องกันจากสิ่งเหล่านี้เช่นกัน