ในสังคมไทย “เอดส์” มักถูกกล่าวถึงด้วยภาพจำเชิงลบ ทั้งความกลัว ความรังเกียจ และความเข้าใจผิด ไม่ใช่เพียงโรคทางการแพทย์ แต่ยังเป็น “ตราประทับทางสังคม” ที่ตามหลอกหลอน ผู้ติดเชื้อเอชไอวีมานานหลายทศวรรษ
หนึ่งในคำพูดที่เรายังคงได้ยินอยู่เสมอคือ ผู้ป่วยเอดส์ ซึ่งแม้จะดูเหมือนเป็นถ้อยคำปกติ แต่แท้จริงแล้วคำนี้กลับกลายเป็นสิ่งที่บั่นทอนศักดิ์ศรี ความเป็นมนุษย์ และทำให้ผู้มีเชื้อเอชไอวีหลายคนรู้สึกว่าพวกเขาไม่อาจมีชีวิตที่ “ปกติ” ได้เหมือนคนอื่น แล้วถึงเวลาแล้วหรือยังที่เราจะต้องตั้งคำถามกับคำคำนี้? เราควรเลิกใช้คำว่าผู้ป่วยเอดส์ได้แล้วหรือยัง?
ผู้ติดเชื้อเอชไอวี ไม่ใช่ ผู้ป่วยเอดส์
ก่อนที่จะไปถึงประเด็นเรื่องการใช้คำ เราควรเริ่มจากความเข้าใจพื้นฐานว่า HIV (Human Immunodeficiency Virus) คือ ไวรัสที่ทำลายระบบภูมิคุ้มกันของร่างกายแต่ เอดส์คือ (AIDS-Acquired Immune Deficiency Syndrome) คือ กลุ่มอาการภูมิคุ้มกันบกพร่องที่เกิดขึ้นในระยะท้ายของการติดเชื้อ HIV ซึ่งผู้ติดเชื้อไม่ได้รับการรักษาอย่างเหมาะสม ดังนั้น ไม่ใช่ทุกคนที่มีเชื้อ HIV จะเป็น ผู้ป่วยเอดส์ และในปัจจุบัน ด้วยการใช้ยาต้านไวรัส (ART) อย่างต่อเนื่อง ผู้ที่มีเชื้อ HIV สามารถมีชีวิตที่ยืนยาวและแข็งแรงได้เหมือนคนทั่วไป โดยไม่พัฒนาเข้าสู่ภาวะเอดส์เลยตลอดชีวิต
คำว่า ผู้ป่วยเอดส์ สร้างความเข้าใจผิดอย่างไร?
การใช้คำว่าผู้ป่วยเอดส์สะท้อนถึงความเข้าใจผิด 3 ประเด็นใหญ่ ดังนี้:
- ตีตราว่าผู้ติดเชื้อทุกคนคือผู้ป่วย
- ในความเป็นจริง ผู้ที่ติดเชื้อ HIV จำนวนมากไม่ได้มีอาการ และหากได้รับการรักษาอย่างต่อเนื่อง พวกเขาจะมีภูมิคุ้มกันในระดับปกติ ไม่ได้ป่วย และไม่ใช่ “ผู้ป่วย” ในเชิงคลินิก
- ผูกภาพจำกับความน่าสงสารและความตาย
- คำว่า “เอดส์” ทำให้หลายคนยังนึกถึงภาพผู้ป่วยในอดีตที่ร่างกายทรุดโทรม ซึ่งไม่ตรงกับความเป็นจริงในยุคปัจจุบัน ที่ผู้มีเชื้อสามารถทำงาน มีครอบครัว มีเซ็กส์ และมีชีวิตได้ตามปกติ
- ลดคุณค่าความเป็นมนุษย์
- คำว่า “ผู้ป่วยเอดส์” ทำให้บุคคลถูกจำกัดด้วยสถานะหนึ่ง โดยละเลยมิติอื่น ๆ ในชีวิตของพวกเขา เช่น ความฝัน ความสามารถ และความสัมพันธ์ในครอบครัวและสังคม

ปัจจุบันคนที่มีเชื้อ HIV ใช้ชีวิตอย่างไร?
ในปี 2025 ผู้ที่มีเชื้อ HIV มีโอกาสเข้าถึงยาต้านไวรัสได้อย่างกว้างขวาง และสามารถใช้ชีวิตได้แทบไม่ต่างจากคนทั่วไป พวกเขา:
- มีสุขภาพแข็งแรง ติดตามค่าภูมิคุ้มกันเป็นประจำ
- ทำงานในทุกสายอาชีพ ทั้งราชการ เอกชน ศิลปิน หรือแม้แต่แพทย์
- มีครอบครัวและลูกโดยไม่ถ่ายทอดเชื้อให้คนรักหรือทารก
- มีเพศสัมพันธ์อย่างปลอดภัยโดยไม่ต้องกลัวการแพร่เชื้อ เมื่อมี Undetectable = Untransmittable (U=U)
เมื่อสถานะทางสุขภาพของผู้มีเชื้อเปลี่ยนไปแล้ว คำที่เราใช้ก็ควรปรับให้สอดคล้องกับความเป็นจริงใหม่ด้วย
U=U เปลี่ยนความหมายของคำว่า “ผู้ติดเชื้อ” ไปโดยสิ้นเชิง แนวคิด U=U (ตรวจไม่พบเชื้อ = ไม่สามารถแพร่เชื้อ) คือข้อมูลสำคัญที่สุดที่เปลี่ยนโลกของผู้มีเชื้อ HIV ไปโดยสิ้นเชิง หากผู้มีเชื้อได้รับ การรักษาด้วยยาต้านไวรัส สม่ำเสมอจนตรวจไม่พบเชื้อในเลือดติดต่อกันเกิน 6 เดือน พวกเขาจะไม่สามารถแพร่เชื้อไปสู่คู่นอนได้เลย เมื่อความกลัวในการแพร่เชื้อหมดไป การตีตราก็ควรต้องหมดไปด้วยเช่นกัน คำว่าผู้ป่วยเอดส์ จึงเป็นสิ่งที่ไม่เพียงแค่ล้าสมัย แต่ยังทำให้เข้าใจผิดอย่างร้ายแรง
แล้วเราควรใช้คำว่าอะไรแทน ผู้ป่วยเอดส์ ?
เพื่อให้การสื่อสารมีความเคารพ และสะท้อนความเข้าใจที่ถูกต้อง คำแนะนำในการใช้คำควรเป็นดังนี้:
คำเดิม (ควรหลีกเลี่ยง) | คำที่ควรใช้แทน |
---|---|
ผู้ป่วยเอดส์ | ผู้มีเชื้อเอชไอวี / ผู้อยู่ร่วมกับเชื้อเอชไอวี |
ติดเชื้อเอดส์ | ติดเชื้อเอชไอวี |
คนเป็นเอดส์ | คนที่มีภาวะเอดส์ (เฉพาะกรณีที่มีอาการจริง) |
คนแพร่เชื้อ | คนที่มีเชื้อ (ไม่มีข้อมูลว่าแพร่หรือไม่แพร่) |

สื่อมวลชน และบุคลากรด้านสุขภาพควรเริ่มจากตรงไหน?
การเปลี่ยนแปลงการใช้ภาษาควรเริ่มจากผู้ที่มีบทบาทในการสื่อสารกับสังคม ได้แก่:
🧑⚕️ แพทย์ พยาบาล เจ้าหน้าที่คลินิก
- ควรฝึกใช้คำว่า “ผู้มีเชื้อ” แทนคำว่าผู้ป่วยเอดส์
- อธิบายเรื่อง U=U และ ART กับผู้มารับบริการ เพื่อสร้างความเข้าใจ
📺 สื่อมวลชน นักข่าว
- หลีกเลี่ยงการใช้ภาพเหมารวม เช่น ภาพขาวดำของคนผอม หรือคำว่า “โรคร้ายแรง” เมื่อพูดถึง HIV
- ใช้ภาษากลาง เช่น “ผู้มีเชื้อเอชไอวี” หรือ “บุคคลที่อยู่ร่วมกับเชื้อเอชไอวี”
👥 หน่วยงานรัฐและเอกชน
- ควรปรับแก้เอกสารทางการ และเว็บไซต์ราชการให้ใช้คำอย่างเคารพและไม่ตีตรา
- สนับสนุนการรณรงค์ U=U อย่างเป็นทางการเพื่อให้สังคมเข้าใจข้อเท็จจริง
ทำไมคำที่เราใช้จึงสำคัญ?
คำพูดไม่ใช่เพียงเสียงหรือข้อความ แต่เป็นภาพสะท้อนของค่านิยม ทัศนคติ และโครงสร้างอำนาจในสังคม การเลือกใช้คำที่ไม่เหมาะสม เช่น ผู้ป่วยเอดส์ไม่เพียงแต่สร้างความเข้าใจผิดในเชิงวิชาการ (เพราะไม่ใช่ทุกคนที่ติดเชื้อ HIV จะป่วยเป็นเอดส์) แต่ยังเป็นการสื่อสารที่แฝงไปด้วยการตีตราและลดทอนคุณค่าความเป็นมนุษย์ของผู้มีเชื้อ
“คำเหล่านี้สามารถส่งผลกระทบทางจิตใจอย่างรุนแรง ทำให้ผู้มีเชื้อรู้สึกอับอาย
รู้สึกว่าเป็นภาระของสังคม หรือไม่กล้าเปิดเผยสถานะของตนเอง
ผลลัพธ์คือ พวกเขาอาจไม่กล้าเข้ารับการตรวจ ไม่เข้าถึงการรักษา
และไม่กล้าบอกคนรอบข้าง รวมถึงคู่รักของตน ซึ่งทั้งหมดนี้
เป็นอุปสรรคสำคัญต่อการควบคุมการแพร่ระบาดของ HIV”
ยิ่งไปกว่านั้น การใช้คำที่ตีตรา ยังตอกย้ำภาพจำผิด ๆ เช่นว่า ผู้มีเชื้อ HIV ต้องดูอ่อนแอ ผอมแห้ง หรือเป็นกลุ่มชายรักชายเท่านั้น ทั้งที่ความเป็นจริง ผู้ติดเชื้อ HIV สามารถดูสุขภาพแข็งแรง ใช้ชีวิตได้ตามปกติ และเป็นได้ทุกเพศ ทุกวัย ทุกเชื้อชาติ ทุกวิชาชีพ

ในทางกลับกัน หากสังคมเริ่มเลือกใช้คำที่ลดการตีตรา เช่น “ผู้มีเชื้อ HIV” หรือ “บุคคลที่อยู่ร่วมกับเชื้อ” (People living with HIV) ก็เท่ากับเป็นการส่งสารว่า เราเห็นพวกเขาเป็นมนุษย์คนหนึ่ง ไม่ใช่โรค ไม่ใช่ความผิด และไม่ใช่เครื่องหมายของความล้มเหลว การเปลี่ยนภาษาจึงไม่ใช่เรื่องเล็ก แต่คือการเริ่มต้นของสังคมที่เคารพศักดิ์ศรีความเป็นมนุษย์ และเปิดทางให้ทุกคนเข้าถึงการดูแลสุขภาพอย่างเท่าเทียม
เสียงจากผู้มีเชื้อ: “ฉันไม่ใช่ผู้ป่วย ฉันคือมนุษย์”
“ตั้งแต่ฉันกินยาอย่างต่อเนื่อง ฉันตรวจไม่พบเชื้อมานานกว่า 3 ปีแล้ว ฉันไปทำงาน ออกกำลังกาย เที่ยว มีแฟน และมีเซ็กส์โดยไม่ติดเชื้อ ฉันไม่ได้รู้สึกว่าตัวเองเป็นผู้ป่วย ฉันคือคนธรรมดา” — พี (นามสมมติ), ผู้มีเชื้อเอชไอวีวัย 28 ปี
“บางครั้งคำพูดทำร้ายมากกว่าการกระทำ คำว่าผู้ป่วยเอดส์ ทำให้ฉันเหมือนถูกขังอยู่ในคำตัดสินของสังคม แม้ร่างกายจะแข็งแรง แต่คำนี้ทำให้ใจฉันเจ็บ” — แอม (นามสมมติ), ครูโรงเรียนเอกชน
เสียงเหล่านี้คือเครื่องเตือนใจว่า การเปลี่ยนแค่ “คำพูด” สามารถเปลี่ยนทั้งความรู้สึกและอนาคตของใครบางคนได้
อ่านบทความอื่น ๆ ที่น่าสนใจ
เอชไอวีกับสุขภาพจิต – สร้างพลังใจเพื่อชีวิตที่มีความสุข
ทำไม U=U ถึงสำคัญต่อการยุติการแพร่ระบาดของเอชไอวี?
สรุป: ถึงเวลาแล้วหรือยัง? ใช่ครับ ถึงเวลาแล้ว – ถึงเวลาแล้วที่เราจะเลิกใช้คำว่า คนเป็นเอดส์ ซึ่งไม่เพียงล้าสมัย แต่ยังเป็นคำที่ตอกย้ำภาพลบซ้ำซ้อนต่อผู้คนที่ไม่สมควรถูกตีตรา ถึงเวลาแล้วที่เราจะเรียกพวกเขาว่า “ผู้มีเชื้อเอชไอวี” อย่างเคารพ ถึงเวลาแล้วที่เราจะเข้าใจว่า “HIV ไม่ใช่จุดจบ แต่เป็นเพียงจุดเริ่มต้นของการดูแลสุขภาพ” และถึงเวลาแล้วที่สังคมไทยจะเติบโตไปสู่ยุคที่ไม่มีใครถูกตีตราเพียงเพราะผลเลือดของเขา
ขอบคุณข้อมูลจาก:
HIV กับ เอดส์ ต่างกันอย่างไร? (www.sikarin.com/health/hiv)
อาการเอดส์ กับอาการ HIV ต่างกันอย่างไร? (www.allwellhealthcare.com/hiv-aids-symptom)
ทำความรู้จักโรคติดเชื้อ HIV เอชไอวี (www.rama.mahidol.ac.th/atrama/issue039/health-station)