ในปัจจุบัน แนวทางการรักษา HIV โดยหลักจะเป็นการรักษาด้วยการทานยาต้านไวรัส หากผู้ป่วยพบ เชื้อเร็ว ทานยาเร็ว ทานยาตรงเวลามีวินัย และพบแพทย์ตามนัดสม่ำเสมอ โดยทั่วไปผู้ป่วยจะสามารถมีร่างกายที่แข็งแรงปกติได้ประมาณ 6 เดือน หลังจากเริ่มต้นทานยา และสามารถมีชีวิตได้เหมือนคนปกติทั่วไป HIV รักษาได้ แค่กินยา
ทำความรู้จักเชื้อไวรัส HIV
HIV หรือ เอชไอวี ชื่อภาษาอังกฤษ Human Immunodeficiency Virus เป็นเชื้อไวรัสที่ทำลายระบบภูมิคุ้มกันของคน คือ เซลล์เม็ดเลือดขาวซีดีโฟร์ (CD4 cells) ซึ่งทำหน้าที่ป้องกันร่างกายจากเชื้อโรค การติดเชื้อ เมื่อเชื้อไวรัส HIV ทำลายเม็ดเลือดขาว CD4 จนมีปริมาณน้ยยลง และไม่เพียงพอต่อการต้านทานเชื้อโรค เป็นสาเหตุให้เกิดอาการภูมิคุ้มกันบกพร่อง หากไม่ได้รับการรักษาจะเข้าสู่ระยะโรคเอดส์
เหตุการณ์ที่ทำให้เสี่ยงติดเชื้อ HIV
- การมีเพศสัมพันธ์โดยไม่ป้องกัน (ไม่สวมถุงยางอนามัยระหว่างมีเพศสัมพันธ์)
- สัมผัสสารคัดหลั่งของผู้ติดเชื้อโดยตรง เช่น น้ำอสุจิ เลือด สารคัดหลั่ง
- การใช้เข็มฉีดยาร่วมกัน มักพบในผู้ที่ใช้สารเสพติดฉีดเข้าเส้นเลือด
- การติดระหว่างแม่สู่ลูก ระหว่างตั้งครรภ์ การคลอดและการเลี้ยงดูด้วยการให้นม
ระยะการติดเชื้อ HIV
ระยะแรกเริ่มของการติดเชื้อ
HIV ในช่วงแรก ที่ติดเชื้อปริมาณไม่มากนักอาจยังตรวจหาเชื้อ หรือภูมิต้านทานต่อเชื้อไม่พบ ซึ่งอาจเป็นช่วง 2 – 12 สัปดาห์ ในระยะนี้ผู้ติดเชื้อจะมีอาการไข้ หนาวสั่น เจ็บคอ ปวดเมื่อยตามตัว มีผื่นขึ้น ต่อมน้ำเหลืองที่คอโต บางรายอาจมีอาการ คลื่นไส้ อาเจียน น้ำหนักลด ถ่ายแหลว อาการเหล่านี้มักจะอยู่ประมาณ 1 – 2 สัปดาห์ แล้วหายเองได้
ระยะติดเชื้อโดยไม่มีอาการ (ระยะแฝง)
ผู้ติดเชื้อมักจะแข็งแรงเป็นปกติ แต่เมื่อตรวจเลือดจะพบเชื้อ HIV และสารภูมิคุ้มกันต่อเชื้อชนิดนี้ จึงสามารถแพร่เชื้อให้ผู้อื่นได้ เรียกว่าเป็นพาหะ (Carrier) ระยะนี้แม้ว่าจะไม่มีอาการแต่เชื้อ HIV จะแบ่งตัวเจริญเติบโตขึ้นไปเรื่อย ๆ และทำลายระบบภูมิคุ้มกันโรคจนมีจำนวนลดลงจะทำให้เกิดอาการเจ็บป่วย ระยะนี้ส่วนใหญ่ มักเป็นอยู่นานถึง 10 ปี
ระยะโรคเอดส์ (ไม่ใช่ HIV แล้ว)
ระยะโรคเอดส์นี้ เป็นระยะสุดท้ายของการติดเชื้อ HIV ระบบภูมิคุ้มกันโรคของผู้ป่วยแย่ลงมาก จากการตรวจระดับ CD4 พบว่ามีจำนวนต่ำกว่า 200 เซลล์ต่อลูกบาศก์มิลลิเมตร ทำให้เชื้อโรคต่าง ๆ เช่น แบคทีเรีย ไวรัส ฉวยโอกาสเข้ามาในร่างกายระยะนี้ผู้ป่วยอาจมีอาการไข้ ไอ ท้องเสีย น้ำหนักลด จนผอมแห้งและอ่อนเพลียอาเจียน ปวดท้อง คลื่นไส้ กลืนลำบาก ตกขาวบ่อยในผู้หญิง มีผื่นคันตามผิวหนัง ซีด มีจุดแดงจ้ำเขียวหรือเลือดออกจากภาวะเกล็ดเลือดต่ำ พฤติกรรมผิดแปลกไปจากเดิมเนื่องจากความผิดปกติของสมอง
HIV รักษาได้ แค่รู้วิธี
ปัจจุบันมีการรักษาด้วย ยาต้านไวรัสเอชไอวี (Antiretroviral therapy : ART) ที่มีประสิทธิภาพสูง มีหลายชนิด แต่ละชนิดมีกลไกการออกฤทธิ์ที่แตกต่างกัน แพทย์จะพิจารณาเลือกใช้ยาที่เหมาะสมกับผู้ป่วยแต่ละราย ขึ้นอยู่กับปัจจัยต่างๆ เช่น ระยะของโรค สภาพร่างกาย ผลข้างเคียงของยา และความดื้อต่อยา ยาต้านไวรัสเอชไอวีไม่สามารถรักษาโรคให้หายขาดได้ แต่สามารถยับยั้งการแบ่งตัวของเชื้อไวรัสเอชไอวีในร่างกาย ช่วยให้ระบบภูมิคุ้มกันของร่างกายแข็งแรงขึ้น ลดโอกาสการเกิดโรคเอดส์ และป้องกันการแพร่กระจายของเชื้อไปสู่ผู้อื่น ผู้ป่วยที่ได้รับยาอย่างสม่ำเสมอต่อเนื่อง สามารถมีชีวิตอยู่ได้ยาวนาน และมีสุขภาพดี
ผลข้างเคียงของยาต้านไวรัสเอชไอวี
- ยาต้านไวรัสเอชไอวีอาจทำให้เกิดผลข้างเคียงได้ แต่ผลข้างเคียงเหล่านี้มักไม่รุนแรง และสามารถหายได้เอง
- ผลข้างเคียงที่พบบ่อยของยาต้านไวรัสเอชไอวี ได้แก่ คลื่นไส้ อาเจียน ท้องเสีย ปวดศีรษะ อ่อนเพลีย
- หากผู้ป่วยพบผลข้างเคียงใดๆ ที่รุนแรง และเป็นนานกว่า 2 สัปดาห์ ควรแจ้งให้แพทย์ทราบ แพทย์อาจปรับขนาดยา เปลี่ยนชนิดยา หรือให้ยาอื่นเพื่อบรรเทาอาการ
การดูแลตัวเองเมื่อเป็นเอชไอวี
การดูแลตัวเองเมื่อเป็นเอชไอวี มีความสำคัญอย่างมากต่อการมีสุขภาพที่ดี และยืดอายุขัยโดยวิธีต่อไปนี้
- รับประทานยาต้านไวรัสเอชไอวีอย่างเคร่งครัด ยาต้านไวรัสเอชไอวีมีประสิทธิภาพสูงในการรักษาโรค ผู้ป่วยที่ได้รับยาอย่างสม่ำเสมอต่อเนื่อง จะมีปริมาณไวรัสในเลือด (viral load) ต่ำจนตรวจไม่พบ (undetectable) ช่วยให้ระบบภูมิคุ้มกันแข็งแรงขึ้น ลดโอกาสการเกิดโรคเอดส์ และป้องกันการแพร่เชื้อไปสู่ผู้อื่น
- ติดตามผลการรักษาอย่างสม่ำเสมอ แพทย์จะนัดผู้ป่วยเพื่อตรวจเลือด ติดตามผลการรักษา และประเมินผลข้างเคียงของยา
- ดูแลสุขภาพทั่วไป ทานอาหารให้ครบ 5 หมู่ ออกกำลังกายสม่ำเสมอ พักผ่อนให้เพียงพอ หลีกเลี่ยงการสูบบุหรี่และดื่มแอลกอฮอล์
- ดูแลสุขภาพจิต ความเครียดและวิตกกังวล อาจส่งผลต่อระบบภูมิคุ้มกัน ผู้ป่วยควรหาช่องทางผ่อนคลาย พูดคุยกับคนที่ไว้ใจ หรือขอความช่วยเหลือจากนักจิตวิทยา
- ป้องกันการแพร่เชื้อ ผู้ป่วยเอชไอวีสามารถมีเพศสัมพันธ์ได้อย่างปลอดภัยโดยใช้ถุงยางอนามัยทุกครั้ง หลีกเลี่ยงการใช้เข็มฉีดยาร่วมกับผู้อื่น
อ่านบทความอื่นๆ เพิ่มเติม
ในปัจจุบันยาต้านไวรัสยังไม่สามารถกำจัดเชื้อ HIV ให้ไปหมดไปจากร่างกายได้ ผู้มีเชื้อ HIV จำเป็นต้องทานยาต้านไวรัสไปตลอด เพื่อทำให้ร่างกายแข็งแรงอยู่เสมอ ช่วยให้ระบบภูมิคุ้มกันแข็งแรงขึ้น ลดโอกาสการเกิดโรคเอดส์ และป้องกันการแพร่เชื้อไปสู่ผู้อื่น