Undetectable แล้วไม่สวมถุงยางอนามัยได้ไหม

By TeamU

ในยุคปัจจุบันที่วิทยาการทางการแพทย์ก้าวหน้าอย่างมาก การรักษาไวรัสเอชไอวี (HIV) ได้พัฒนาไปไกลอย่างที่เราสามารถเห็นได้ชัด ด้วยการใช้ยาต้านไวรัสที่เรียกว่า ART (Antiretroviral Therapy) ช่วยให้ผู้อยู่ร่วมกับเชื้อสามารถมีคุณภาพชีวิตที่ดีขึ้น และลดการแพร่กระจายเชื้อได้อย่างมีประสิทธิภาพ หนึ่งในแนวคิดที่แพร่หลายในวงการแพทย์คือ Undetectable = Untransmittable หรือ U=U ซึ่งหมายถึงว่า เมื่อผู้ติดเชื้อเอชไอวีได้รับการรักษาด้วยยาต้านไวรัส จนไม่สามารถตรวจพบเชื้อในเลือด ก็จะไม่มีความเสี่ยงที่จะแพร่เชื้อผ่านทางเพศสัมพันธ์ให้กับคู่นอน แต่คำถามที่หลายคนสงสัยคือ เมื่อ U=U แล้ว ไม่สวมถุงยางอนามัยได้ไหม? มาดูรายละเอียดกันในบทความนี้

ความหมายของ Undetectable คืออะไร?

เมื่อเราพูดถึงคำว่า Undetectable หมายถึง ภาวะการณ์ที่ผู้ติดเชื้อเอชไอวี ได้รับการรักษาด้วยยาต้านไวรัสอย่างสม่ำเสมอ และประสบความสำเร็จในการลดปริมาณไวรัสในร่างกายลง (Viral Load) จนไม่สามารถตรวจพบได้ด้วยวิธีการตรวจปริมาณไวรัสมาตรฐาน ซึ่งโดยทั่วไปแล้ว ปริมาณไวรัสที่น้อยกว่า 50 ก๊อบปี้ต่อมิลลิลิตรของเลือด จะถือว่าเป็น “U=U”

U=U (Undetectable = Untransmittable) คือแนวคิดที่ยืนยันว่าผู้ที่มีสถานะเป็น U=U นั้นไม่มีความเสี่ยงที่จะส่งต่อเชื้อเอชไอวีให้ผู้อื่นผ่านการมีเพศสัมพันธ์แบบไม่ป้องกัน ไม่ว่าจะเป็นการมีเพศสัมพันธ์ทางช่องคลอดหรือทางทวารหนัก

Love2test

ทำไม Undetectable ถึงลดการแพร่เชื้อเอชไอวีได้?

การรักษาด้วยยาต้านไวรัส ART ช่วยลดปริมาณไวรัสในร่างกายของผู้ติดเชื้อให้ลดลงจนไม่สามารถตรวจพบได้ เมื่อปริมาณไวรัสลดลงอยู่ในระดับนี้ เอชไอวีจะไม่สามารถแพร่เชื้อไปสู่ผู้อื่นได้ เนื่องจากไม่มีไวรัสในน้ำอสุจิ สารหล่อลื่น หรือสารคัดหลั่งอื่นๆ ที่เพียงพอสำหรับการติดเชื้อ ซึ่งหมายความว่าแม้ว่าจะมีเพศสัมพันธ์แบบไม่ป้องกัน การแพร่เชื้อก็จะไม่เกิดขึ้น นี่คือหลักการที่อยู่เบื้องหลังแนวคิด U=U

ทำไม Undetectable ถึงลดการแพร่เชื้อเอชไอวีได้

แต่ถ้าหากไม่สวมถุงยางอนามัยจะปลอดภัยจริงหรือ?

แม้ว่าแนวคิด U=U จะทำให้มั่นใจได้ว่าผู้ที่มีสถานะเป็น U=U ไม่สามารถแพร่เชื้อเอชไอวีให้กับผู้อื่นได้ แต่ก็ยังมีข้อควรระวังอื่นๆ ที่ควรคำนึงถึงเมื่อพูดถึงการมีเพศสัมพันธ์โดยไม่สวมถุงยางอนามัย

  • การติดเชื้อทางเพศสัมพันธ์อื่นๆ (STDs)
    • ถุงยางอนามัยไม่ได้เป็นเพียงเครื่องมือในการป้องกันเอชไอวีเท่านั้น แต่ยังช่วยป้องกันโรคติดต่อทางเพศสัมพันธ์อื่นๆ เช่น หนองใน ซิฟิลิส โรคเริม หรือหูดหงอนไก่ ผู้ที่มีเพศสัมพันธ์โดยไม่ใช้ถุงยางอนามัยยังคงเสี่ยงต่อการติดเชื้อเหล่านี้ แม้ว่าจะอยู่ในสถานะตรวจไม่เจอเชื้อและไม่สามารถแพร่เชื้อเอชไอวีได้ก็ตาม
  • การตั้งครรภ์ที่ไม่พึงประสงค์
    • สำหรับคู่รักผลเลือดต่างที่ไม่ได้มีความต้องการจะมีบุตร หรือยังไม่ได้วางแผนครอบครัวอย่างจริงจัง การใช้ถุงยางอนามัยยังมีประโยชน์ในด้านการคุมกำเนิด หากมีเพศสัมพันธ์โดยไม่สวมถุงยางอนามัย โอกาสที่จะเกิดการตั้งครรภ์ก็ยังคงมีอยู่

ข้อดีของการใช้ถุงยางอนามัย แม้ในสถานะ Undetectable

การใช้ถุงยางอนามัยยังคงมีความสำคัญ แม้ว่าผู้ติดเชื้อเอชไอวีจะอยู่ในสถานะไม่พบเชื้อและไม่สามารถแพร่เชื้อได้ สาเหตุเพราะถุงยางอนามัยเป็นหนึ่งในเครื่องมือป้องกันโรคที่ดีที่สุด ข้อดีของถุงยางอนามัย ได้แก่:

  • ป้องกันโรคติดต่อทางเพศสัมพันธ์
  • ป้องกันคุมการตั้งครรภ์ที่ไม่พึงประสงค์
  • ซื้อหาง่าย มีขายตามร้านสะดวกซื้อทั่วไป
  • ไม่ต้องมีการติดตาม หรือดูแลเป็นพิเศษ
  • ช่วยให้เกิดความรู้สึกมั่นใจและปลอดภัย
  • ไม่จำเป็นต้องใช้ฮอร์โมนหรือยาคุมกำเนิด
ข้อดีของการใช้ถุงยางอนามัย แม้ในสถานะ Undetectable

ความเสี่ยงในการเลิกใช้ถุงยางอนามัย

ถึงแม้การมีเพศสัมพันธ์โดยไม่สวมถุงยางอนามัยในสถานะ U=U จะมีความเสี่ยงต่อการแพร่เชื้อเอชไอวีต่ำมากจนถึงไม่มีความเสี่ยงเลย แต่ก็ยังมีความเสี่ยงจากโรคติดต่อทางเพศสัมพันธ์อื่น ๆ ที่ควรให้ความสำคัญ โรคติดต่อเหล่านี้อาจไม่สามารถป้องกันได้ด้วยการรักษาด้วยยาต้านไวรัส และหลายโรคยังไม่มีวิธีการรักษาให้หายขาดอย่างเช่นเอชไอวี

  1. โรคซิฟิลิส (Syphilis) ซิฟิลิสเป็นหนึ่งในโรคติดต่อทางเพศสัมพันธ์ที่ยังพบได้บ่อย โดยเฉพาะในกลุ่มผู้ชายที่มีเพศสัมพันธ์กับผู้ชาย โรคนี้สามารถแพร่กระจายได้ผ่านการสัมผัสทางผิวหนัง และการสัมผัสบริเวณอวัยวะเพศ แม้ว่าผู้ติดเชื้อเอชไอวีจะอยู่ในสถานะไม่พบเชื้อ แต่ถ้าไม่มีการสวมถุงยางอนามัย ก็ยังมีโอกาสติดเชื้อซิฟิลิสได้ หากไม่ได้รับการรักษาอาจส่งผลกระทบต่อระบบต่าง ๆ ในร่างกาย รวมถึงระบบประสาทและหัวใจ ซึ่งเป็นสิ่งที่ไม่ควรมองข้าม การใช้ถุงยางอนามัยจึงเป็นวิธีการป้องกันโรคนี้ที่มีประสิทธิภาพที่สุด
  2. หนองใน (Gonorrhea) เป็นโรคติดต่อทางเพศสัมพันธ์ที่สามารถแพร่กระจายได้ทั้งจากการมีเพศสัมพันธ์ทางช่องคลอด ทางทวารหนัก และทางปาก การติดเชื้อหนองในทำให้เกิดอาการไม่สบายและการอักเสบในระบบปัสสาวะและอวัยวะเพศ หากไม่รักษาอาจนำไปสู่ภาวะการเป็นหมันในระยะยาวได้ ผู้ที่อยู่ในสถานะ U=U หากเลือกที่จะไม่ใช้ถุงยางอนามัย ก็ยังเสี่ยงต่อการติดเชื้อหนองใน โดยเฉพาะหากมีเพศสัมพันธ์กับหลายคน
  3. เริมที่อวัยวะเพศ (Genital Herpes) โรคเริมเป็นโรคที่เกิดจากไวรัส HSV (Herpes Simplex Virus) และเป็นโรคที่ไม่สามารถรักษาให้หายขาดได้ เมื่อเชื้อเข้าสู่ร่างกายจะคงอยู่ตลอดชีวิต ผู้ที่ติดเชื้อจะมีอาการเกิดเป็นแผลที่อวัยวะเพศหรือตามบริเวณอื่นๆ ถึงแม้จะอยู่ในสถานะ U=U แต่ถ้าไม่มีการใช้ถุงยางอนามัย ความเสี่ยงในการติดเชื้อเริมก็ยังคงมีอยู่ เนื่องจากไวรัสเริมสามารถแพร่เชื้อได้แม้ในช่วงที่ไม่มีแผลปรากฏอยู่
  4. หูดหงอนไก่ (Genital Warts) เกิดจากการติดเชื้อไวรัส HPV (Human Papillomavirus) ซึ่งเป็นอีกโรคหนึ่งที่แพร่กระจายผ่านการมีเพศสัมพันธ์ หูดหงอนไก่ไม่สามารถป้องกันได้ด้วยยาต้านไวรัส และยังไม่มีวิธีการรักษาที่หายขาดได้ ไวรัส HPV ยังเป็นสาเหตุสำคัญของการเกิดมะเร็งปากมดลูกในผู้หญิง และมะเร็งในช่องปากและคอหอย การใช้ถุงยางอนามัยเป็นวิธีป้องกันโรคนี้ที่ดีที่สุด

การใช้ถุงยางอนามัยร่วมกับแนวคิด U=U

ถึงแม้แนวคิด U=U จะทำให้มั่นใจว่าผู้ที่มีสถานะดังกล่าวนี้จะไม่สามารถแพร่เชื้อเอชไอวีได้ แต่การใช้ถุงยางอนามัยยังคงเป็นวิธีการป้องกันที่มีประสิทธิภาพในการป้องกันโรคติดต่อทางเพศสัมพันธ์อื่น ๆ ซึ่งถุงยางอนามัยทำงานควบคู่กับการรักษาด้วยยาต้านไวรัส ART และยาต้านไวรัสเพร็พ (PrEP) เพื่อเพิ่มความปลอดภัยสูงสุดในการมีเพศสัมพันธ์ การใช้ถุงยางอนามัยร่วมกับ U=U ทำให้เรามีความมั่นใจในการป้องกันทั้งเอชไอวีและโรคติดต่อทางเพศสัมพันธ์อื่น ๆ การผสมผสานวิธีการป้องกันหลากหลายรูปแบบเป็นสิ่งที่ดีที่สุดในการรักษาสุขภาพทางเพศ และช่วยลดความเสี่ยงที่อาจเกิดขึ้นได้อย่างมีประสิทธิภาพ

การใช้ ถุงยางอนามัย ร่วมกับแนวคิด U=U

ความสำคัญของการตรวจสุขภาพทางเพศ

การตรวจสุขภาพทางเพศเป็นสิ่งสำคัญไม่ว่าคุณจะอยู่ในสถานะตรวจไม่พบเชื้อแล้วหรือไม่ การเข้ารับการตรวจโรคติดต่อทางเพศสัมพันธ์อย่างสม่ำเสมอช่วยให้คุณทราบถึงสถานะสุขภาพของตัวเองและสามารถรับการรักษาได้อย่างทันท่วงทีหากพบว่ามีการติดเชื้อ สำหรับผู้ที่มีเพศสัมพันธ์กับหลายคน หรือผู้ที่มีพฤติกรรมเสี่ยง การตรวจโรคติดต่อทางเพศสัมพันธ์เป็นประจำเป็นสิ่งสำคัญอย่างยิ่ง การตรวจสุขภาพทางเพศช่วยให้คุณมั่นใจได้ว่าคุณยังคงมีสุขภาพทางเพศที่ดี และสามารถป้องกันการแพร่กระจายของโรคติดต่อทางเพศสัมพันธ์ได้

การตรวจโรคติดต่อทางเพศสัมพันธ์ที่แนะนำให้ทำเป็นประจำได้แก่:

การตรวจซิฟิลิส
เป็นการตรวจหาเชื้อแบคทีเรีย Treponema pallidum ซึ่งเป็นสาเหตุของโรค โดยสามารถทำได้ผ่านการตรวจเลือด เพื่อตรวจหาสารภูมิต้านทานต่อเชื้อ หรือการตรวจหาตัวเชื้อเอง การตรวจพบโรคซิฟิลิสแต่เนิ่นๆ เป็นสิ่งสำคัญ เนื่องจากโรคนี้สามารถรักษาได้ด้วยยาปฏิชีวนะ แต่หากปล่อยไว้อาจนำไปสู่ภาวะแทรกซ้อนที่ร้ายแรงได้ เช่น โรคหัวใจ หรือระบบประสาท การตรวจเป็นประจำ จึงช่วยป้องกันการแพร่ระบาดได้
การตรวจหนองใน
เป็นการตรวจหาเชื้อแบคทีเรีย Neisseria gonorrhoeae ซึ่งเป็นสาเหตุของโรค ซึ่งสามารถตรวจได้จากการเก็บตัวอย่างจากอวัยวะเพศ ปากมดลูก ท่อปัสสาวะ หรือคอ การตรวจสามารถทำได้ผ่านการตรวจปัสสาวะ หรือการวิเคราะห์ตัวอย่างในห้องปฏิบัติการ หากไม่รักษาอาจนำไปสู่ภาวะแทรกซ้อน เช่น การอักเสบของอวัยวะเพศ และการติดเชื้อในอุ้งเชิงกราน เป็นต้น
การตรวจเริมที่อวัยวะเพศ
เป็นการตรวจหาเชื้อไวรัสเริม (Herpes Simplex Virus หรือ HSV) ซึ่งเป็นสาเหตุของการติดเชื้อเริมที่อวัยวะเพศ การตรวจสามารถทำได้โดยการเก็บตัวอย่างจากแผลที่อวัยวะเพศ หรือการตรวจเลือด เพื่อตรวจหาภูมิต้านทานต่อไวรัส เชื้อเริมสามารถแพร่กระจายได้แม้ในช่วงที่ไม่มีอาการ การตรวจและการรักษาในระยะแรกช่วยลดการแพร่เชื้อและควบคุมอาการได้อย่างมีประสิทธิภาพ
การตรวจหูดหงอนไก่และเชื้อ HPV
เป็นการตรวจหาเชื้อไวรัส HPV ซึ่งเป็นสาเหตุของหูดหงอนไก่ที่อวัยวะเพศ การตรวจสามารถทำได้โดยการตรวจตัวอย่างจากหูดที่มีอยู่หรือการตรวจภายใน เช่น การตรวจปากมดลูก (Pap Smear) เพื่อค้นหาเซลล์ผิดปกติที่อาจเกิดจากการติดเชื้อ HPV การตรวจ HPV มีความสำคัญเนื่องจากไวรัสนี้สามารถเพิ่มความเสี่ยงต่อการเกิดมะเร็งปากมดลูกและมะเร็งอวัยวะเพศ การตรวจพบและการรักษาในระยะแรกสามารถช่วยป้องกันการแพร่เชื้อและลดความเสี่ยงจากภาวะแทรกซ้อนได้

การใช้ชีวิตทางเพศอย่างปลอดภัยและสุขภาพดีในสถานะ Undetectable

เมื่อคุณหรือคู่ของคุณอยู่ในสถานะ U=U แล้ว การมีเพศสัมพันธ์สามารถทำได้อย่างปลอดภัยและลดความกังวลเรื่องการแพร่เชื้อเอชไอวี แต่การตัดสินใจที่จะไม่ใช้ถุงยางอนามัยควรทำโดยมีการสื่อสารที่ชัดเจนกับคู่ของคุณ และต้องพิจารณาถึงปัจจัยเสี่ยงอื่นๆ เช่น โรคติดต่อทางเพศสัมพันธ์และการตั้งครรภ์ หากคุณตัดสินใจที่จะไม่ใช้ถุงยางอนามัย สิ่งสำคัญคือการเข้ารับการตรวจสุขภาพทางเพศเป็นประจำ เพื่อตรวจหาโรคติดต่อทางเพศสัมพันธ์ และหากพบว่าเกิดการติดเชื้อใดๆ ควรรีบรับการรักษาทันที

อ่านบทความอื่นๆ ที่น่าสนใจ

กล่าวโดยสรุป U=U แล้วไม่สวมถุงยางอนามัยได้ไหม? คำตอบคือ สามารถทำได้ แต่ต้องเข้าใจถึงความเสี่ยงอื่นๆ ที่ยังคงมีอยู่ การที่อยู่ในสถานะ U=U ช่วยลดความเสี่ยงในการแพร่เชื้อเอชไอวีให้เป็นศูนย์ผ่านทางการมีเพศสัมพันธ์แบบไม่สวมถุงยางอนามัย แต่ยังคงต้องพิจารณาถึงโรคติดต่อทางเพศสัมพันธ์อื่นๆ และความเสี่ยงในการตั้งครรภ์ ดังนั้น การตัดสินใจว่าจะสวมถุงยางอนามัยหรือไม่ในสถานะ U=U ควรเป็นการตัดสินใจที่มีการพูดคุยและทำความเข้าใจกับคู่ของคุณอย่างชัดเจน รวมทั้งต้องระมัดระวังและเฝ้าติดตามสุขภาพทางเพศอย่างสม่ำเสมอ

สุดท้ายนี้ การรักษาด้วยยาต้านไวรัสและสถานะ U=U ถือเป็นความก้าวหน้าที่ยิ่งใหญ่ในการต่อสู้กับโรคเอชไอวี แต่นั่นไม่ได้หมายความว่าทุกความเสี่ยงจะถูกขจัดออกไป การป้องกันและการดูแลสุขภาพของตนเองและคู่ของคุณจึงยังคงเป็นสิ่งสำคัญเสมอ

อ้างอิงข้อมูลจาก:
ความจริง 6 ข้อของ U=U ที่คุณต้องรู้
https://ihri.org/th/get-to-know-uu-more-with-these-6-universally-proven-facts
▶ ข้อมูล U=U หมายความว่าอย่างไร
https://tmc.or.th/pdf/tmc_knowlege-30.pdf
ข้อเท็จจริงของ U=U ศูนย์วิจัยโรคเอดส์ สภากาชาดไทย (คลีนิคนิรนาม)
https://th.trcarc.org/%E0%B8%82%E0%B9%89%E0%B8%AD%E0%B9%80%E0%B8%97%E0%B9%87%E0%B8%88%E0%B8%88%E0%B8%A3%E0%B8%B4%E0%B8%87%E0%B8%82%E0%B8%AD%E0%B8%87-uu